18.7.12

ผมมีปัญหากับเวลา

แต่มาคิดๆดูแล้ว
เวลามันก็ไหลไปของมัน

ผมจะไปมีปัญหาอะไรกับมันได้
ผมน่าจะมีปัญหากับตัวเองมากกว่า

ผมมักจะบ่นว่าผมควบคุมเวลาทำงานไม่ได้
ผมควรบ่นว่าผมควบคุมตัวเองไม่ได้
หรือผมไม่ควรบ่น
ผมควรควบคุมตัวเอง

ผมมักจะคิดวิธีจัดการกับเวลา
ทำอย่างไรให้ทันเวลา
ทำอย่างไรให้เหลือเวลา

แต่มันมักจะล้มเหลว
ปัญหาไม่ใช่เวลา
ปัญหาคือผมเอง

ยังดีที่สิ่งที่ผมทำ
ผมรักที่จะทำมัน
แม้จะล้มเหลวทางการจัดการเวลา
แต่สิ่งที่ผมทำออกมาสำเร็จ
ก็คงพอถูไถ

แต่ก็คงพอถูไถมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว
นี่ก็ปีห้าแล้ว
ถูจนสึกหมดแล้วล่ะ
ร่างกายนะที่สึก
โดนตัวเองเอาไปถูไถกับเวลา
ให้เวลามันกัดกินชีวิตไป
คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้าง

มักจะบ่นเรื่องเวลา
เมื่อตอนที่โดนมันเล่นงาน
ไม่ใช่เวลาเล่นงาน
ตัวผมเล่นงานตัวเอง

อย่างตอนนี้ที่ผมเล่นงานตัวเองอยู่
แต่ผมไม่ได้เล่นงาน
ผมเล่นอย่างเดียว
ถ้าเล่นงานงานก็คงจะเสร็จ

ผมเลิกเล่นแล้วเอาตัวเองไปเล่นงานดีกว่า
ก่อนที่ตัวผมเองจะเอาเวลามาเป็นข้ออ้าง
ในการก่นด่าความเหนื่อยล้าที่เป็นผลจากการกัดกร่อน
ของการตัดสินใจของผมเอง

(เหนื่อยนะ แต่ไม่หยุดวิ่งหรอก)

11.7.12

ฝึกงาน







ฝึกงานสนุกดีครับ
ได้ลองทำงานที่ตัวเองชอบ และได้รับคำชมเชย
อยากขอจดสิ่งที่เรียนรู้ไว้ซักหน่อย

1.คอนเซปต์ไม่ใช่ทุกอย่าง ถ้ามันไม่ช่วยให้สามารถแปลงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ก็ไม่ควรยึดติดกับมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการดำดิ่งสู่คอนเซปต์เป็นสิ่งไม่ดี เพราะอาจเป็นทักษะการแปลงความคิดเป็นสิ่งที่จับต้องได้นั้น ยังไม่ดีพอ

2.บางทีอาจไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยคอนเซปต์เสมอไป การนึกภาพสุดท้ายไว้บ้างก็จะช่วยได้ (ประสบการณ์อันนี้ทำให้ผมตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียนมามากขึ้น)

3.ทุกๆครั้งที่มีการสื่อสารงานให้ผู้อื่นฟัง ให้คิดซะว่าทุกครั้งนั้นเป็นการพรีเซนต์งานจริงๆ หมายความว่าจะต้องเล่าอย่างครบถ้วนและตั้งใจ เพราะคิดมาแทบตายถ้าเล่าไม่ครบนิดๆหน่อยๆ ก็จะไม่สามารถสื่อสารงานออกไปได้ดี และผู้ฟังก็อาจไม่เข้าใจงานเต็มที่ทำให้ไม่สามารถแสดงความเห็นได้ตรง ที่แย่กว่าคือมาลดทอนกำลังใจ ความมั่นใจในการทำต่อไป แล้วถ้าได้เล่าหลายๆรอบมันก็คือการทบทวนและตรวจสอบตัวงานไปด้วย

4.ถ้าเราสนุกกับสิ่งที่เราทำ เราจะเล่นกับมันได้อย่างเพลิดเพลิน อาจเป็นเพราะไม่ได้แบกรับแรงกดดันอะไรด้วย แต่ก็คงต้องลืมมันไปก่อนแล้วสนุกกับสิ่งตรงหน้าให้เต็มที่

5.ผมชอบปฏิกิริยาจากผู้ฟังจังเลยครับ ที่เค้าจะยิ้ม จะหัวเราะ จะชื่นชม ผมเคยคิดว่ามันทำให้ผมเสียนิสัยที่จะทำงานเพื่อคำชม เพื่อให้ตัวเองรู้สึกถูกสรรเสริญสูงกว่าผู้อื่น แต่ลองมาคิดอีกมุม มันก็เป็นการทำให้ผู้อื่นมีความสุข ด้วยการคิดแบบนี้การทำงานเพื่อหวังคำชมอาจไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเองเสมอไป (ไม่รู้ว่าต่างกับการเล่นดนตรีมั้ย)

6.ผมรู้สึกดีมากที่ผ่านดีไซน์โปรเสสเยอะๆ เพราะมันทำให้เริ่มเข้าใจมันมากขึ้น ผมรู้สึกว่าผมเริ่ม "แพร๊กติคอล" มากขึ้น

7.จงเลือกทำงานด้วย "วิธีการ" ที่จะทำให้เราทำมันได้ดี

8.ชีวิตในเมืองนี่ก็ลำบากทีเดียว เพิ่งเริ่มได้ลิ้มลองรสชาติของคนทำงาน (ไม่ได้หมายถึงเนื้องาน) ของการไม่ค่อยมีเงิน ว่าการที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อแม่มาให้เงินทุกๆอาทิตย์มันจะลำบากแค่ไหน คงต้องพยายามมากกว่านี้แล้ว

9.ปัจจัยเรื่องความเร็วมีผลมาก ต้องทำงานด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ต้องกำหนดกรอบเวลาให้ดี การทำงานโดยไม่รู้ว่าต้องทำเท่าไหร่ และจะต้องเสร็จเมื่อไหร่ อาจทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่

10.เริ่มรู้สึกมั่นใจว่าพอจะเป็นดีไซน์เนอร์ได้บ้าง เป็นข่าวที่ดี

11.หมดแล้ว


10.7.12

การที่ได้สนทนากับบุคคลที่มีความต่างกับเรา ทั้งในด้านความคิด ทัศนคติ อายุ ประสบการณ์ การศึกษาสภาวะแวดล้อม นั้น ทำให้เราได้ตั้งคำถามกับความคิดของเราอีกครั้ง แม้มันอาจเริ่มต้นด้วยความขุ่นมัวในจิตใจที่เริ่มมีส่วนผสมของความครุกรุ่น แต่ก็โชคดีที่มันยังไม่แปลงเป็นโทสะ ที่จะปิดบังดวงตาและความคิด เพราะมองเห็นมันได้ทันท่วงที การมองเห็นนี้ทำให้เราได้ตั้งคำถามกับตัวเองด้วย ว่าเรายึดติดกับชุดความคิด ความเชื่อ สิ่งที่เราได้รับการสอนมา แค่ไหน เราสู้เพื่อมันโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ลืมหูลืมตาหรือเปล่า เรานึกไปเองว่าความเชื่อหรือความคิดนั้นๆคือตัวเราหรือเปล่า ทำให้เมื่อมีคนมาว่าความเชื่อหรือความคิดนั้น ก็เหมือนมาว่าเรา ด้วยการยึดติดนี้ การคุยกับคนคิดต่างคือหายนะ เพราะจะเจอแต่คำที่เราคิดว่าเค้าด่าเรา

แต่หากลองเปลี่ยนมุมมอง การที่เค้าทำให้เราได้ตั้งคำถามกับความเชื่อและความคิดของเรานั้น อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจมันมากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น และมองมันจากหลายมุมมองมากขึ้น การตรวจสอบความคิดความเชื่อของเราเสมอๆอาจทำให้เราไม่ปิดตัวเองและไม่ยึดติดกับความคิดจนมองไม่เห็นอะไร

ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าการตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดี และพยายามทำอยู่ครับ

5.7.12












เป็นโปรเจกที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้องานจริงๆซักเท่าไหร่ แต่มีความกระหายในการทำสูงมาก
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความกระหาย หรืออยากทำมากๆซักเท่าไหร่ ถ้ามีก็จะมีแปบเดียว
ถ้าไม่รีบทำอะไรซักอย่างความรู้สึกนั้นก็จะหายไป ครั้งนี้เมื่อผมรู้สึกตัวว่ามีความอยาก
ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างมากครับ
เกริ่นเล็กน้อย นี่คือการทำโลโก้ให้กับงานโปรดักของผมกับเพื่อนอีกคนครับ งานนี้เป็นงาน
ที่ทำในวิชาเรียน แต่กำลังจะเอาไปประกวด เลยอยากทำโลโก้ให้มันดูดีหน่อย โปรดักชิ้นนี้
คือเครื่องช่วยผู้ป่วยอัมภาต ให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ในการใช้ชีวิตในบ้านครับ ในเซต
จะมีสามชิ้น ผมให้ชื่อมันเรียงกันว่า ดั่งใจ ทันใจ และ สมใจ
เพราะว่าคอนเซปต์ของโปรดักชิ้นนี้คือต้องการให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างใจตนเอง
เรียกรวมๆว่า ใจ ครับ
สำหรับคอนเซปต์ของโลโก้ ผมนึกถึงริบบิ้นครับ ริบบิ้นในสายตาของผมโอบอุ้มความหมายสอง
อย่างในตัว อย่างแรกคือเส้นชัย คือเป้าหมาย คือความหวังที่จะได้มา อย่างที่สองคือของขวัญ
คือความสุข คือการสมความต้องการ
เมื่อรวมกัน ก็หมายถึงผมมอบของขวัญแห่งความสุข ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้รับ
อะไรประมาณนั้นน่ะครับ




3.7.12

ยินดีต้อนรับตัวเองเข้าสู่บล๊อกครับ

ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าถึงนัก หรือไม่ค่อย 'อิน' กับการเขียนบล๊อก
ที่บรรยายเรื่องราวต่างๆที่สนใจหรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันให้ผู้อื่นฟัง
ผมมักจะมองว่ามันเป็นการกระทำที่แสวงหาผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
ที่ไม่ใช่การจดบันทึกทบทวนเรื่องราวกับตัวเองอย่างบริสุทธิ์
อาจจะเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่ต้องการให้ผู้อื่นเห็น หรืออะไรทำนองนั้น

ผมมักจะบันทึกมันลงในสมุด ที่กลับมาอ่านบ้าง ไม่กลับมาบ้าง
ผมชอบเขียนมากครับ ชอบที่จะจรดปากกาลงบนสมุด ชอบที่จะเห็น
น้ำหมึกที่ไหลออกจากปลายปากกา ค่อยๆซึมลงไปบนเนื้อกระดาษ
ชอบที่จะได้จัดวางหน้ากระดาษให้สวยงาม 

(ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีคิดของผมเป็นอย่างมาก ผมไม่สามารถคิดโดย
ไม่มีอะไรให้เขียนทดได้นานนัก มันจะลอยไปลอยมา การเขียนทำให้ผมเห็นสิ่ง
ที่ผมคิดออกมา เห็นจำนวนของมัน เห็นภาพรวม และแน่นอนเมื่อเขียนไปเรื่อยๆ 
จำนวนของมันก็จะเพิ่มขึ้น เรียงตัวสวยงามบนหน้ากระดาษ ก็จะเพิ่มความมั่นใจ
ให้ผมได้ว่าผมมีความคิดตุนอยู่มาก และการจัดวางก็สวยจนอยากคิดต่อ)

มีเรื่องราวมากมายอยู่ในสมุดของผม เรียกได้ว่ามันคือชิ้นส่วนของช่วงเวลา
และความทรงจำของชีวิตผม กระจัดกระจายไปตามหน้ากระดาษ
มีทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องความคิด และอีกมากเรื่อง

ครับ แต่วันนี้ผมมาลองเขียนบล๊อกครับ
เพราะผมมีเป้าหมายที่คิดขึ้นมาเล่นๆอยู่สองสามอย่าง

หนึ่งคือ ผมคิดว่าการที่เราเขียนอะไรออกไป หรือคิด หรือพูด หรือสื่อสาร
อะไรออกไปนั้น การที่มีผู้รับสารกับไม่มีมันต่างกันค่อนข้างมาก มันเกี่ยวโยง
กับความรู้สึกที่ผมจะได้รับ เช่นน้ำหนักของความคิดนั้นๆต่อการกระทำ
ที่จะเกิดขึ้นหลังความคิดนั้นเกิดขึ้น หรือแรงผลักดันให้กระทำความคิดนั้นๆ

ซึ่งหลังผมคิดอะไรดีๆได้มันมักจะสลายหายไปเพราะไม่มีอะไรกระตุ้นให้ทำ
หรือแม้จะคิดอะไรที่ไม่ดีๆก็ไม่ได้กลับไปทบทวนนัก

การเขียนบันทึกของผมมันไม่มีผู้รับสารครับ
(แต่อันที่จริงก็มีบ้างบางครั้งสำหรับผู้คนที่มาเปิดสมุดของผมดู)
ทำให้ผมเหมือนเล่นบอลคนเดียว เดาะไปเรื่อย

แต่การเขียนบล๊อกมันมีผู้รับครับ
ผมอาจจะไม่รู้ว่าผู้รับนั้นเป็นใคร
หรือมันอาจจะไม่มีเลยก็ได้ถ้าไม่มีใครบังเอิญแวะผ่านเข้ามา
แต่มันยังคงให้ความรู้สึกนั้น
เพราะมันถูกแขวนไว้ในอากาศแล้ว
เหมือนเราเตะบอลออกไปในฝูงชน
แม้ไม่มีคนเล่นกับเรา
ก็มีคนหันมามองบ้าง
หรือถ้ามีคนส่งบอลกลับมาก็คงจะดี

สองคือสตีฟจ๊อบครับ
ผมชอบฟังสตีฟพูดครับ มันลื่นหูและดูน่าฟังดี (เวลาพรีเซนต์)
รวมทั้งมันดูน่าติดตามไปหมด การพรีเซนต์ของเค้าสำหรับผม
มันคล้ายการแสดงสด มันให้อารมณ์ มันทำให้จิตใจผมเคลื่อนไหว

ไม่ได้จะบอกว่าเป็นสาวกหรอกครับ เพราะผมก็ไม่ได้บ้าขนาดนั้น
และก็ไม่ได้ติดตามเค้าขนาดนั้นด้วย
แต่สิ่งที่เป็นเหตุของข้อที่สองนี้คือการกล่าวสุนทรพจน์ของสตีฟที่
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดครับ ที่วันที่เค้าตายทีวีมันเปิดกันทุกช่อง
วันนั้นผมอยากรู้ว่าเค้าพูดอะไรเลยลองไปนั่งฟังในยูทูป

แล้วก็ค่อนข้างอินครับ

คุณไม่สามารถเชื่อมจุดไปในอนาคตได้
สิ่งที่คุณทำได้คือสืบสาวจุดไปในอดีต
เพื่อให้รู้ว่าปัจจุบันเส้นเชื่อมเหล่านั้นเป็นรูปอะไร

บล๊อกนี้จะเป็นที่บันทึกจุดของผม 
แน่นอนในสมุดผมก็มีจุดเหล่านั้น

ในห้องนอนผมก็มี ในตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ
กล่องของเล่น ชั้นซีดี ตู้รองเท้า ก็มี

แต่จุดในบล๊อกนี้จะต่างจากจุดเหล่านั้นอยู่หน่อยนึง
คือจุดในบล๊อกนี้จะเป็นจุดที่เกิดจากแก่นความคิดที่บอกว่า

ถ้าหากว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต

คำนี้ค่อนข้างเกร่อนะครับ แบบว่าให้ใช้ชีวิตเหมือนวันสุดท้ายจะได้ทุ่มเท
แต่ผมไม่ได้จะทุ่มเทอะไรหรอกครับ
ผมเป็นคนติดความเคยชิน และไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆเท่าไหร่
ผมเริ่มมีความเชื่อว่าหายจมอยู่ในความเคยชินเดิมๆ
จะไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้

ผมคิดว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย
ผมคงอยากทำอะไรใหม่ๆบ้าง
และผมเป็นคนที่ถ้าไม่เห็นภาพรวมของเวลา
ก็จะเอ้อระเหยไปเรื่อยไม่รีบร้อน
และถ้านี่เป็นวันสุดท้าย
ผมอาจลุกขึ้นจากห้องนี้

แล้วออกไปเตะบอลกับฝูงชนก็ได้ครับ