3.7.12

ยินดีต้อนรับตัวเองเข้าสู่บล๊อกครับ

ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าถึงนัก หรือไม่ค่อย 'อิน' กับการเขียนบล๊อก
ที่บรรยายเรื่องราวต่างๆที่สนใจหรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันให้ผู้อื่นฟัง
ผมมักจะมองว่ามันเป็นการกระทำที่แสวงหาผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
ที่ไม่ใช่การจดบันทึกทบทวนเรื่องราวกับตัวเองอย่างบริสุทธิ์
อาจจะเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่ต้องการให้ผู้อื่นเห็น หรืออะไรทำนองนั้น

ผมมักจะบันทึกมันลงในสมุด ที่กลับมาอ่านบ้าง ไม่กลับมาบ้าง
ผมชอบเขียนมากครับ ชอบที่จะจรดปากกาลงบนสมุด ชอบที่จะเห็น
น้ำหมึกที่ไหลออกจากปลายปากกา ค่อยๆซึมลงไปบนเนื้อกระดาษ
ชอบที่จะได้จัดวางหน้ากระดาษให้สวยงาม 

(ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีคิดของผมเป็นอย่างมาก ผมไม่สามารถคิดโดย
ไม่มีอะไรให้เขียนทดได้นานนัก มันจะลอยไปลอยมา การเขียนทำให้ผมเห็นสิ่ง
ที่ผมคิดออกมา เห็นจำนวนของมัน เห็นภาพรวม และแน่นอนเมื่อเขียนไปเรื่อยๆ 
จำนวนของมันก็จะเพิ่มขึ้น เรียงตัวสวยงามบนหน้ากระดาษ ก็จะเพิ่มความมั่นใจ
ให้ผมได้ว่าผมมีความคิดตุนอยู่มาก และการจัดวางก็สวยจนอยากคิดต่อ)

มีเรื่องราวมากมายอยู่ในสมุดของผม เรียกได้ว่ามันคือชิ้นส่วนของช่วงเวลา
และความทรงจำของชีวิตผม กระจัดกระจายไปตามหน้ากระดาษ
มีทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องความคิด และอีกมากเรื่อง

ครับ แต่วันนี้ผมมาลองเขียนบล๊อกครับ
เพราะผมมีเป้าหมายที่คิดขึ้นมาเล่นๆอยู่สองสามอย่าง

หนึ่งคือ ผมคิดว่าการที่เราเขียนอะไรออกไป หรือคิด หรือพูด หรือสื่อสาร
อะไรออกไปนั้น การที่มีผู้รับสารกับไม่มีมันต่างกันค่อนข้างมาก มันเกี่ยวโยง
กับความรู้สึกที่ผมจะได้รับ เช่นน้ำหนักของความคิดนั้นๆต่อการกระทำ
ที่จะเกิดขึ้นหลังความคิดนั้นเกิดขึ้น หรือแรงผลักดันให้กระทำความคิดนั้นๆ

ซึ่งหลังผมคิดอะไรดีๆได้มันมักจะสลายหายไปเพราะไม่มีอะไรกระตุ้นให้ทำ
หรือแม้จะคิดอะไรที่ไม่ดีๆก็ไม่ได้กลับไปทบทวนนัก

การเขียนบันทึกของผมมันไม่มีผู้รับสารครับ
(แต่อันที่จริงก็มีบ้างบางครั้งสำหรับผู้คนที่มาเปิดสมุดของผมดู)
ทำให้ผมเหมือนเล่นบอลคนเดียว เดาะไปเรื่อย

แต่การเขียนบล๊อกมันมีผู้รับครับ
ผมอาจจะไม่รู้ว่าผู้รับนั้นเป็นใคร
หรือมันอาจจะไม่มีเลยก็ได้ถ้าไม่มีใครบังเอิญแวะผ่านเข้ามา
แต่มันยังคงให้ความรู้สึกนั้น
เพราะมันถูกแขวนไว้ในอากาศแล้ว
เหมือนเราเตะบอลออกไปในฝูงชน
แม้ไม่มีคนเล่นกับเรา
ก็มีคนหันมามองบ้าง
หรือถ้ามีคนส่งบอลกลับมาก็คงจะดี

สองคือสตีฟจ๊อบครับ
ผมชอบฟังสตีฟพูดครับ มันลื่นหูและดูน่าฟังดี (เวลาพรีเซนต์)
รวมทั้งมันดูน่าติดตามไปหมด การพรีเซนต์ของเค้าสำหรับผม
มันคล้ายการแสดงสด มันให้อารมณ์ มันทำให้จิตใจผมเคลื่อนไหว

ไม่ได้จะบอกว่าเป็นสาวกหรอกครับ เพราะผมก็ไม่ได้บ้าขนาดนั้น
และก็ไม่ได้ติดตามเค้าขนาดนั้นด้วย
แต่สิ่งที่เป็นเหตุของข้อที่สองนี้คือการกล่าวสุนทรพจน์ของสตีฟที่
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดครับ ที่วันที่เค้าตายทีวีมันเปิดกันทุกช่อง
วันนั้นผมอยากรู้ว่าเค้าพูดอะไรเลยลองไปนั่งฟังในยูทูป

แล้วก็ค่อนข้างอินครับ

คุณไม่สามารถเชื่อมจุดไปในอนาคตได้
สิ่งที่คุณทำได้คือสืบสาวจุดไปในอดีต
เพื่อให้รู้ว่าปัจจุบันเส้นเชื่อมเหล่านั้นเป็นรูปอะไร

บล๊อกนี้จะเป็นที่บันทึกจุดของผม 
แน่นอนในสมุดผมก็มีจุดเหล่านั้น

ในห้องนอนผมก็มี ในตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ
กล่องของเล่น ชั้นซีดี ตู้รองเท้า ก็มี

แต่จุดในบล๊อกนี้จะต่างจากจุดเหล่านั้นอยู่หน่อยนึง
คือจุดในบล๊อกนี้จะเป็นจุดที่เกิดจากแก่นความคิดที่บอกว่า

ถ้าหากว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต

คำนี้ค่อนข้างเกร่อนะครับ แบบว่าให้ใช้ชีวิตเหมือนวันสุดท้ายจะได้ทุ่มเท
แต่ผมไม่ได้จะทุ่มเทอะไรหรอกครับ
ผมเป็นคนติดความเคยชิน และไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆเท่าไหร่
ผมเริ่มมีความเชื่อว่าหายจมอยู่ในความเคยชินเดิมๆ
จะไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้

ผมคิดว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย
ผมคงอยากทำอะไรใหม่ๆบ้าง
และผมเป็นคนที่ถ้าไม่เห็นภาพรวมของเวลา
ก็จะเอ้อระเหยไปเรื่อยไม่รีบร้อน
และถ้านี่เป็นวันสุดท้าย
ผมอาจลุกขึ้นจากห้องนี้

แล้วออกไปเตะบอลกับฝูงชนก็ได้ครับ






1 comment: