26.2.16

วันนี้

01
วันนี้
เป็นเวลาปีครึ่งที่หายไปจากการเขียนบล๊อค
แน่นอนมีเรื่องเกิดขึ้นเพียบ
แปลกดีพอมองกลับไปก็ได้เห็นพัฒนาการ
สิ่งที่ต่อเนื่อง

02
งาน
ตอนนี้งานค่อนข้างไปได้ดี
มีผู้คนสนใจและยอมรับ
มากขึ้นกว่าสองปีที่แล้วมาก
คนที่รู้จักก็มากขึ้น 
แล้วงานก็เยอะเป็นเงาตามตัว
ตอนนี้ก็ยังทำคนเดียวเหมือนช่วงแรกๆ
แต่ด้วยสเกลงานที่ใหญ่ขึ้น
คนเดียวก็ชักจะหนักอยู่เหมือนกัน
จะลองเขียนสื่งที่ทำไว้เล่นๆ

ทำแบรนด์สองแบรนด์
ทำรีเสิชหาข้อมูล
วางกลยุทธ์แบรนด์
เขียนแผนการตลาด
วิเคราะห์สินค้า
ศึกษาเครื่องจักร

กำหนดทิศทางการออกแบบ
ออกแบบ
สเก็ชภาพ
ทำโมเดล
ทำภาพสามมิติ
ทำดรออิ้งการผลิต
ฝึกทำงานไม้
จ้างนักออกแบบข้างนอก

ดูแลการผลิต
ปรับต้นแบบ
คุมคุณภาพ
ตีราคา

ออกแบบบูท
ออกแบบหน้าร้าน

ถ่ายรูปสินค้า แต่งรูป ไดคัท
ทำงานกราฟิค แคตาลอค โปสการ์ด นามบัตร
ป้ายราคา ใบราคา
ไปโรงพิมพ์ ตรวจคุณภาพ
ทำคอนเทนท์ลงเฟซบุค

ขายของที่แฟร์
ทำใบเสนอราคา
ติดต่องานโปรเจค
บินไปต่างประเทศเยี่ยมลูกค้า
ติดต่องานกับต่างประเทศ

ประสานงานทีมผลิตกับลูกค้า
แก้ปัญหางานที่คุณภาพไม่ดี
ปรับปรุงการผลิต
คิดวิธีการใหม่ๆ
วนไปเรื่อยๆ

และเพิ่งลงเรียนคอร์สพิเศษเกี่ยวกับการบริหาร

พอเหนื่อยก็จะรู้สึกว่าเยอะ
พอไม่เหนี่ือยก็เร่งสุดแรง
เหมือนขับรถบนถนน
ที่ไม่มีรถคันหน้า
ไว้คอยเทียบความเร็ว
แล้วพอดีรถเราไม่มีมาตรวัดความเร็วให้ดูซะด้วย

งานตอนนี้ครอบคลุมหลายๆสายงาน
Marketing - Furniture design - Graphic design
- Production - Salesman - Administration

โชคดีที่ศึกษาและลองทำไว้หลายสกิล
เลยยังพอทำได้
แต่ก็นั่นแหละ พอทำหลายอย่าง
มันก็ไม่โฟกัส งานก็ดีไม่เต็มที่
บางงานก็โดนละเลย

สนุกดีมีงานหลากหลาย
และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นงานออกมาดี
บางครั้งก็มีความสุขที่ได้เห็นเส้นสายการสเก็ช
แต่ก็ท้อบ้าง
ทำงานไปร้องไห้ไป
แต่วันต่อมาก็พอจะมีแรงมาทำต่อได้เสมอ

ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายจริงๆก็คิดว่าโอเค
รู้สึกว่าได้ใช้พลังงานชีวิตค่อนข้างคุ้ม
ในแง่ทางโลกน่ะนะ
ในแง่จิตใจนี่ไม่ได้พัฒนาเลย
มันยากจริงๆที่จะตั้งสติในงานที่วุ่นวายขนาดนี้
แต่ละวันนี่มีเรื่องให้ทำไม่เคยต่ำกว่า 10 เรื่อง
(จาก 10 สายงาน)

03
จิตใจ
คิดว่านิ่งกว่าเมื่อก่อนพอควร
(คิดเองเออเอง)
อาจเพราะมีช่วงที่เว้นว่างจากการคุยกับคนอื่นไปนาน
มันทำให้หันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
มีช่วงนึงไปนั่งสมาธิทุกวันอาทิตย์
นั่งได้นาน และยาว เหมือนตอนบวชเลย
รู้สึกว่ามีสติ แต่บางครั้งก็ออกเคร่งเครียด
จนรู้สึกว่ามันตึงๆในสมองตลอดเวลา
พยายามรู้ตัวให้มากขึ้น
ขณะทำงานก็จะพยายามไม่โมโห จะดูจิตตัวเองให้ทัน
เมื่ออารมณ์มากระทบ
ทำได้บ้างไม่ได้บ้างสลับกันไป
แต่พี่ๆร่วมงานก็ดูฟังเรา และยินดีร่วมงาน
ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี

ทุกครั้งที่เหนื่อยมากๆ
แล้วคิดต่อไปว่าถ้าต้องทำแบบนี้ไปตลอดชีวิต
จะไหวมั้ยหนอ
คิดบ่อยๆว่าอยากจะบวช
เพราะมันวุ่นวายเหลือเกิน
แต่ก็คิดเหมือนกันว่าบวชแล้วจะไหวหรอ
มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ

04
ครอบครัว
ป๊าม้ายังแข็งแรงดี
แม้ป๊าจะมีโรคติดตัวมากมาย จากการทำงานหนัก
แต่ก็พยายามออกกำลังเสมอ
ส่วนม้าก็เดินทุกวัน ร่างกายแข็งแรงดี
ป๊าดูเหนื่อย แต่ก็ยังทำต่อ มีบ่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยละเลย
อยากช่วยป๊าให้มากกว่านี้
รู้สึกดีที่เราไปเดินด้วยกันตอนเย็น
แล้วยังมีป๊ามีม้าอยู่กับเรา
ขอบคุณที่เค้ายังอยู่กับเรา

05
ดีใจที่มีคนให้ปรึกษา พูดคุย และคอยช่วยเหลือกัน แล้ว
ความเหงาก็คลายลงไปมาก
ทำอะไรๆได้มั่นคงขึ้น

06
เรียนต่อ
กำลังจะไปเรียน ถ้าติด
น่าจะเป็นอีกจุดเปลี่ยนของชีวิต
หวังอะไรไว้พอควรจากการไปเรียน
ความรู้
ประสบการณ์
สายตา
โอกาส

07
ทุกวันนี้พยายามทำให้ตัวเอง
ไม่รู้สึกแย่เวลาทำงาน
เหมือนกับว่าพยายามทำให้สนุก
และลืมความเหนื่อยยากไป
เค้าว่ากันว่า ถ้าเราทำงานให้สนุก เราจะเหมือนไม่ได้ทำงาน
เราจะเหมือนเล่นอยู่ตลอดเวลา
คือมันก็สนุกแหละ แต่มันเหนื่อยนะโว้ย
มันเหนื่อยเพราะอะไรกันนะ
เตะบอลสนุก แล้วก็เหนื่อย แต่ไม่เบื่อที่จะเหนื่อย
ทำงานก็สนุก แล้วก็เหนื่อยมากๆ
แต่ชอบเบื่อที่จะเหนื่อย
ทำงานด้วยจิตว่าง - ยังทำไม่ได้
ก็ทำต่อไป

26.9.14

26 กันยา

วันนี้เป็นวันที่ผมอยู่บนโลกมา 25 ปี
เวลาที่ผ่านมาชีวิตค่อนข้างไม่ต้องคิดอะไรล่วงหน้ามากนัก
และไม่ต้องคิดอะไรกับชีวิตมากนัก
หมายความว่าการวางแผนอนาคต หรือการเลือกเส้นทาง
หรือการคิดว่าจะใช้ชีวิตยังไง
ส่วนใหญ่ก็จะไปตามลำดับขั้นที่มีอยู่ในสังคม
และความชอบส่วนตัวบวกกับ
ความต้องการของครอบครัวในบางเรื่อง

25 ปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้น
ให้เรียนรู้มากมายไม่รู้จบ

แม้ยังไม่มีแผนอะไรที่ชัดเจนนักว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
แต่วันนี้ก็รู้แล้วว่าชอบอะไร และพร้อมจะทำอะไร
วันนี้เริ่มมองเห็นชีวิตมากขึ้น
เริ่มต้นศึกษาความหมายของมันมากขึ้น
สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นรากฐานของอนาคตได้

ตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น
ตั้งใจจะพัฒนาทักษะทั้งในด้านการงาน
และจิตใจให้มากยิ่งๆขึ้นไป

ปล.นอนน้อยเขียนไม่รู้เรื่องแล้ว
แต่รู้สึกอยากจะจดอะไรไว้

27.8.14

ผสมความทรงจำ

หนึ่งปีแล้ว

ไม่คิดว่าจะมีวันที่ความฝันในอดีต
จะเริ่มสับสนกับความจริง

เพราะเราห่างกันมาหนึ่งปีเต็มแล้ว
อดีตของเราที่เป็นความจริงยามตื่น
และอดีตของเราที่เป็นความฝันยามหลับ
ถ่ายเทผสมกัน
เหมือนการโยนสิ่งของที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ลงในกล่องเดียว
เหล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและไม่ได้เกิดขึ้น
กลืนกันไปกลายเป็นกล่องใบเล็ก
วางเก็บไว้ในชั้นความทรงจำส่วนลึก

แปลกดีที่อดีตของเราเลือนลาง
ขนาดที่ว่าความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นนั้นเริ่ม
สามารถเข้ามาแทนที่ได้แล้ว
และมันคงบิดเบี้ยวเลอะเลือนไปตามกาลเวลา

แต่สิ่งนึงที่ยังอยู่ก็คือสิ่งที่เปลี่ยนจากความทรงจำ
เป็นนิสัย และบุคลิค รวมถึงรสนิยม
ที่มันฝังติดในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว
เรากับเธอหลอมรวมกันเป็นเราในเวลานี้
ซึ่งแน่นอนว่าวันนึงมันก็คงต้องจางไป
เหมือนกับสีของกล่องๆนั้น

เพียงแต่ว่าวันนี้สีของมันยังแจ่มชัด
ความเศร้ายังไม่ได้หายไปไหนเลย
เพียงแค่รอให้เราเผลอเปิดกล่อง
และจมดิ่งไปกับอดีต
ที่ผสมรวมระหว่างความฝันกันความจริง

7.5.14

In Relationship




บางคนเปรียบความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวเหมือนแก้วที่แตก
ไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมได้อีก
และเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความทุกข์และความเจ็บปวด
ช่วงเวลาหนังจากนั้นก็อาจจะเป็นการลืมอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
หรือใช้ความโกรธในการสลายพันธะต่างๆที่เคยมีต่อกัน

คนในโลกนี้มีมากมายเหลือเกิน
หนึ่งคนก็หนึ่งชีวิตจิตใจ
เมื่อจิตใจหนึ่งสัมพันธ์กับอีกหนึ่ง
ก็ย่อมเกิดความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป

ในญี่ปุ่นมีศาสตร์อย่างหนึ่งที่เรียกว่า Kintsugi (金継ぎ)
แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Golden Joinery
มันคือการซ่อมแซมถ้วยชามที่แตกด้วยการใช้ทอง
(หรือวัสดุอื่นๆเช่น เงิน หรือ แพลทตินั่ม) เป็นกาวที่สมาน
ชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน
เป็นวิธีที่ต่ออายุให้กับสิ่งที่บุบสลาย
เป็นวิธีซ่อมแซมที่เพิ่มคุณค่าให้แก่วัตถุชิ้นนั้นทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ
เป็นศิลปะในการมองโลกอีกมุมมองที่เข้าใจการเสื่อมสลาย
และความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ

หากมีคนที่เปรียบความรักเหมือนแก้วที่แตกไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมได้
ก็มีคนอีกพวกหนึ่งที่ตั้งใจและพยายามในการทำให้แก้ว หรือถ้วยชามนั้น
กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม หรือเพิ่มคุณค่าของมันให้ขึ้นไปอีก
ความรักในมุมมองของพวกเขาอาจจะเป็นความรักที่ผ่านกาลเวลาได้
ผ่านความเจ็บปวดได้ และเข้าใจว่าความรักไม่ใช่แก้วที่ใสไปตลอดกาล
แต่เป็นถ้วยชามที่ปั้นด้วยมือ และมีสีสันที่เป็นธรรมชาติ
เก่าได้ แตกสลายได้ แต่ก็ซ่อมแซมได้

ความรักสำหรับพวกเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์เพียบพร้อม
แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราค่อยๆเรียนรู้และเข้าใจกันและกันมากขึ้น

ในขณะที่บางคนพยายามตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดที่เคยมี
เขาอาจลืมไปว่าช่วงเวลายาวนานที่ความสัมพันธ์นั้นมีอยู่
ได้ทำให้เขาเติมโตขึ้นอย่างไรบ้าง

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://en.wikipedia.org/wiki/Kintsugi

30.3.14

งานที่ตั้งใจทำ

ทุกวันนี้อะไรคือเกณฑ์ในการวัด
คุณภาพของงานว่าดีหรือไม่ดี

เมื่อความต้องการมีต่างกัน
รสนิยมและประสบการณ์ต่างกัน
ความสวยงามมีหลายระดับหลายแบบ

ผมคิดว่างานที่ดีคืองานที่ตั้งใจทำ
คำว่าตั้งใจทำในที่นี้หมายถึงอะไร
ผมว่าความตั้งใจในความหมายของผม
ประกอบด้วยปัจจัยดังนี้

1
Passion
ต้องมีความรักในงาน มีความชอบในงาน
ใส่ใจในรายละเอียดทุกจุด มีสมาธิ 
ต้องการให้งานออกมาดี
งานนั้นๆคงต้องมีความหมายกับตัวผู้ทำด้วย

2
Knowledge
ต้องทำงานด้วยความรู้จริง และหาข้อมูลเพิ่มตลอดเวลา
ไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หยิ่งทะนง รับฟังคำแนะนำ 

3
Skill
มีทักษะในการส่งผ่านความรู้ออกมา
ซึ่งอาจสะสมเป็นภาษาเฉพาะตัว
พัฒนากลายเป็นเอกลักษณ์ของตน

เราจะสัมผัสได้ว่างานชิ้นไหนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
เรารู้สึกได้แม้จะไม่ได้ไปเพ่งมองทุกรายละเอียด
ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงความงามหรือความซับซ้อนในตัวงาน
หรือมันจะทำให้กลุ่มเป้าหมายใด
แต่คิดว่าสามข้อที่กล่าวมาน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญ
สำหรับงานที่ดี
งานที่ตั้งใจทำ


25.3.14

ผลลัพธ์











00
เยอะเลย
แต่คงเขียนไม่เยอะเพราะทิ้งเวลาห่างไปหน่อย

01
งานที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ
ทำต่อเนื่องกว่าสามเดือน
สำเร็จลงจนได้
เป็นผลงานที่ทำต่อยอดจากทีสิส
แตกแขนงออกมาเป็นแบรนด์
ต่อเนื่องออกมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นน้อยใหญ่
สิบกว่าชิ้น

ภาพที่เห็นมันเสร็จออกมาทีละตัว
และภาพที่เห็นมันอยู่พร้อมกัน
ทำให้รู้สึกว่าเรารักในงานนี้และพร้อมจะทำต่อ

แน่นอนงานนี้ไม่ได้ทำคนเดียว
ถ้าไม่มีเพื่อนช่วยคงแย่

02
จากที่เคยไปโรงงานคนอื่นให้เค้าพูดให้ฟัง
วันนี้มีคนอื่นมาโรงงานให้เราพูดให้ฟังแล้ว

03
เสียงตอบรับในงานแฟร์ออกมาดีเกินคาด
คนรู้จักหลายๆคนมาเยี่ยม
มีทั้งคำชม ให้กำลังใจ สอน แนะนำ ติเตียน
และมีคนไม่รู้จักหลายๆคนมาซื้อ
ทำให้รู้ว่ามาถูกทาง
และเส้นทางข้างหน้ายังสดใสอยู่

สนุกกับงานในวันนี้ และ
ตื่นเต้นกับงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


04
จีน
ครั้งที่สอง
ดีที่มีโอกาสได้เห็นงานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
จากทั้งสองฟากโลก
ฝั่งมิลานก็จะล้ำไปฝั่งดีไซน์สุดขั้ว
ฝั่งจีนก็จะโลคอล บ้านๆ แมสๆ
แต่ก็มีบ้างที่ดีไซน์จากจีนดูดี
แต่ก็ไม่เยอะ
แต่หลายๆร้านก็เนี๊ยบเกินคาด
มีรายละเอียดที่สมบูรณ์และทำบรรยากาศได้ดี

ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถวางตัว
ยังไงได้บ้างในการทำงาน
เราสามารถทำมันไปทั้งสองทาง
พร้อมๆกันทั้งดีไซน์และแมส

น่าสนุก

05
หวั่วกงเสียแล้ว
เป็นผู้สูงอายุคนสุดท้ายในบ้านเรา
ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
อีกไม่นานก็อาจจะเป็นคราวของเรา
หรือคนที่ใกล้ตัวเรามากขึ้นไปอีก
เตรียมใจไว้ให้พร้อม
เพราะวันนึงมันต้องมา
และใส่ให้เต็มกับวันนี้ที่ยังมีร่างกายอุ่นอยู่

06
ไปนั่งฟังบันทึกรายการๆนึง
ที่มีคุณเต๋อและคุณคงเดชมาคุย
ไปเพราะชอบความคิดคุณเต๋อ
และผลงานด้วย อยากฟังว่าเค้าคิดอะไรยังไงบ้าง
ชอบที่เต๋อพยายามผสมผสานงานแมสและอินดี้เข้าด้วยกัน
โดยที่ไม่ต้องการแบ่งแยกมันด้วย Genre

เราว่าการแบ่งงานด้วย Genre เป็นการกีดกันความคิด
และแบ่งพรรคแบ่งพวก
แน่นอนหละมันทำให้รู้ว่าอะไรอยู่ในกลุ่มไหน
ให้เป็นระบบ แต่มันก็ไม่ควรจะมาทำให้เกิดการกีดกัน
หรือดูถูกเหยียดหยาม เพราะมันก็คืองานเหมือนกัน
ต่างกันแค่เค้าใส่ใจในรายละเอียดขนาดไหน
ซับซ้อนแค่ไหน และ ให้ใครดู 

Genre แมส และ อินดี้ หรืออื่นๆอะไรก็ตาม
ไม่ควรมารบกวนกระบวนการคิดงาน
จุดประสงค์, stakeholder และความตั้งใจ ต่างหากที่สำคัญ


07
มีแผนอนาคตแล้ว
พร้อมลุย

28.2.14

กิจวัตรของมูราคามิ

-

When I’m in writing mode for a novel, I get up at 4:00 am and work for five to six hours. In the afternoon, I run for 10km or swim for 1500m (or do both), then I read a bit and listen to some music. I go to bed at 9:00 pm. I keep to this routine every day without variation. The repetition itself becomes the important thing; it’s a form of mesmerism. I mesmerize myself to reach a deeper state of mind. But to hold to such repetition for so long — six months to a year — requires a good amount of mental and physical strength. In that sense, writing a long novel is like survival training. Physical strength is as necessary as artistic sensitivity.
Haruki Murakami
The Paris Review, Summer 2004

-

01
กิจวัตรประจำวันของมูราคามินี่เจ๋งจริงๆ
สร้้างโปรแกรมให้กับตัวเอง
และปฏิบัติตามมันอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้เกิดงานที่มีคุณภาพ
และมีชีวิตที่มีคุณภาพ
(ทั้งร่างกายและจิตใจ)

02
พฤติกรรมของมูราคามิก็สะท้อนลงมาในตัวละคร
หลากหลายตัวในนิยายของเค้า
ที่ทำงานด้วยความทำงานจริงๆ
ไม่มามัวกังวลคิดมากอะไรโน่นนี่
ทำงานเพื่องาน
ผมรู้สึกได้เลยว่าเหมือนเค้าและตัวละครของเค้า
จะทำงานด้วยจิตว่าง
ซึ่งเป็นรสนึงจากหนังสือที่ผมชอบมาก
ที่ยังไม่เคยเจอในหนังสืออื่นๆ
(อาจเพราะอ่านไม่มากพอ)
การที่จะสามารถบรรยายถึงกิจวัตรธรรมดาๆ
ให้พิเศษได้ ผู้บรรยายคงต้องสัมผัสถึงความพิเศษ
ของมันมาแล้วจากชีวิตตัวเอง

03
เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจในการใช้ชีวิต