เพิ่งดูหนังเรื่อง Her จบเมื่อประมานครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
มีมุมมองหลายมุมที่พบเห็นจากหนัง
01
มุมมองที่หนึ่ง - ความรัก
หนังบอกเล่าเรื่องราวความผิดหวังจากความรัก
การใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น
ความขัดแย้งระหว่างคนสองคน
ความเหงาเปล่าเปลี่ยว
เรื่อยมาจนถึงความสัมพันธ์ใหม่ที่ค่อยๆก่อตัว
ผลิบาน และสุดท้ายก็ร่วยโรย
ก็เป็นเรื่องความยึดมั่นแหละ
เมื่อรักก็ต้องการเป็นเจ้าของ
เมื่อเป็นดังต้องการก็พอใจ
เมื่อของไม่เป็นดังต้องการก็ไม่พอใจ
ต่างคนต่างถือมาตรฐานของตน
เอามาฟาดฟันกัน แล้วสุดท้ายก็คือ
ความแตกแยก
สิ่งนึงที่หนังทำได้ดีคือบทสนทนา
ที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมาก
โดยเริ่มจากการคุยที่สนุกสนาน
ความเห็นพ้องกันโดยบังเอิญในหลายๆเรื่อง
ต่อด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้น
(แม้ไม่มีร่างกายเข้ามาเกี่ยว)
ความหึงหวง ความกระวนกระวาย ความไร้เหตุผล
ความรำคาญส่วนตัว การถือตัว การจากลา
สิ่งสำคัญมากอย่างนึงที่บทสนทนาเหล่านี้สื่อสาร
เรื่องความรักได้ดีคงเป็นเพราะบทดี นักแสดงดี
และการเล่าเรื่อง
ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังคุยโทรศัพท์
กับแฟนตลอดเวลา
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมอินตามไปได้ว่าเราสามารถที่
จะรู้สึกอบอุ่น หรือมีความสุขไปกับเสียงนั้นๆได้จริง
โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย (ในขณะที่คุยนั้น)
02
มุมมองที่สอง - สังคมกับบุคคล
หนังพูดถึงสังคมในอนาคตที่เทคโนโลยีก้าวไปอีกขั้น
ที่จะสามารถรองรับอารมณ์ของมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาของมนุษย์ได้อยู่ดี
อาจจะต้องการสะท้อนถึงสังคมในปัจจุบันก็ได้
ที่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนา
จนเหมือนคนเราจะอยู่ใกล้กันมากขึ้น
แต่สุดท้ายเราก็ยังเหงาอยู่
และอาจจะเหงามากกว่าเดิมอีกด้วย
จนความเหงากลายเป็นโรคที่ต้องรักษา
ทำให้ผมนึกถึงบทความที่เคยอ่านของ
Sherry Turkle เรื่อง Alone Together
ที่บอกว่า เราจะต้องการเทคโนโลยีสุดเมื่อเราเปราะบางที่สุด
(จำคำแม่นๆไม่ได้แต่น่าจะประมานนี้)
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ทางออก
มันเป็นแค่ทางหนีชั่วคราว
รวมไปถึงคำพูดที่ว่า
คุณจะหยิบมือถือขึ้นมา
เมื่อคุณรู้สึกเหงาบัดซบ
(จำคำแม่นๆไม่ได้แต่น่าจะประมานนี้ 2)
ภาพที่พระเอกต้องคอยหยิบหูฟังใส่หูตลอด
มันทับซ้อนกับภาพที่คนสมัยนี้(ผมด้วย)
ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยๆ
(ซึ่งผมค่อนข้างรู้สึกรำคาญฉากการ
หยิบหูฟังขึ้นมาใส่บ่อยๆมาก ซึ่งอาจเป็น
อาการรำคาญที่ผมเคยเป็นเมื่อผมเห็นคนอื่นใช้
สมาร์ทโฟนตอนที่ผมไม่มี)
หนังอาจต้องการสะท้อนว่า
ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนา
คนก็ยิ่งห่างเหิน
ความสัมพันธ์จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
จะมีกลวิธีในการสื่อสารยิบย่อยขึ้นเรื่อยๆ
และมาตรฐานทางสังคมที่เปลี่ยนไป
เช่นงานที่ธีโอดอร์ทำ (รับเขียนจดหมายสุดซึ้ง)
ซึ่งจดหมายควรจะเป็นสิ่งที่คนนึงเขียนสู่อีกคน
เพื่อสื่อสารความรู้สึก และจดหมายก็ดูจะเป็นอะไร
ที่ค่อนข้างจะดู "จริง" กว่าอีเมลหรือแมซเซจ
แต่หนังกลับแสดงให้เห็นว่า
เทคโนโลยีผลักดันให้การสังคมยอมรับวิธีการแบบนี้ได้
ภาพที่ทุกคนเดินคุยกับตัวเอง
ก็น่าจะตอบประเด็นนี้ได้ดี
แต่หนังก็ไม่ได้ออกมาดาร์คขนาดนั้น
ก็ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้เห็น
เห็นน้ำใจ และความป็นมิตร ที่ยังคงอยู่
ในหนังมีการพูดถึงเรื่องว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง
ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นมันจริงไหม
แล้วความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดกับสิ่งที่ไม่มีจริง
มันจริงไหม
อะไรกันแน่คือความจริง
ในเมื่อของจริงที่อยู่ตรงหน้าทำให้พวกเขาไม่มีความสุข
แล้วมันควรจะเป็นความจริงที่ดีหรือเปล่า
เป็นเรื่องความสับสนที่ผมคิดว่าคนสมัยนี้ก็เป็น
อนึ่ง
คอนเซปต์ของการมีความรักกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
คลายกับการ์ตูนเรื่อง Chobits
(แต่ Chobits เป็นหุ่นยนต์ที่มีร่างกาย)
แต่ Chobits จบในลักษณะที่ว่าความรักแบบนั้น
มันเป็นไปได้
03
มุมมองที่สาม - เรื่องของจิต
ผมได้กลิ่นหนัง, นิยายวิทยาศาสตร์
จากเรื่องนี้แรงมาก แรงกว่าเรื่องของความรักซะอีก
ใจกลางของหนังเรื่องนี้อาจไม่ได้พูดถึง
เรื่องของความรักเป็นหลัก
แต่อาจต้องการจะพูดถึงตอนเซปต์ที่ว่า
"ถ้าคนเรามีจิตใจ แต่ไม่มีร่างกาย จะเป็นยังไง"
คือมีอารมณ์ความรู้สึกความคิดนึก
และกิเลสทุกอย่างเหมือนคน
แต่ไร้รูปร่างและสิ่งที่สัมผัสได้
ผู้กำกับจึงใช้ความรักเป็นอุปกรณ์หลักในการสื่อสาร
เรื่องคอนเซปต์ที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมนี้
เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจ
อีกทั้งใส่เทคโนโลยีลงไปเพื่อทำให้มันไม่ดูเป็น
เรื่องของไสยศาสตร์หรือวิญญาณ โดยสื่อสารออกมา
ให้ซาแมนธามีลักษณะเป็น OS ที่สื่อสาร
กับธีโอดอร์ผ่านทางหูฟัง
และซาแมนธาก็สามารถที่จะรับรู้โลกภายนอก
ได้โดยใช้ กล้อง, ไมโครโฟน
และรับรู้โลกภายใน(จิต)ได้จากอินเตอร์เน็ต
OS ซาแมนธา จึงมีลักษณะความนึกคิด
แบบมนุษย์ มีความรักโลภโกรธหลง
มีอารมณ์ขัน ความเป็นกวี ความอ่อนโยน
ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถของการเป็น
คอมพิวเตอร์ในตัวด้วย ( เช่น multi task,
ความเร็วในการประมวลผล, การวิเคราะห์ข้อมูล )
พูดอีกอย่างนึงว่า OS ซาแมนธา
มีลักษณะของความเป็น จิตและคอมพิวเตอร์
รวมอยู่ด้วยกัน
(กลายเป็นว่าคอมพิวเตอร์ก็มีความยึดมั่นถือมั่นได้
หรือมีตัวกูของกูได้)
ที่เจ๋งอีกอย่างคือ OS สามารถสื่อสารกันเอง
และวิวัฒน์ตัวเองได้ด้วย เหมือนว่าเป็นอีกหนึ่งมิติ
เป็นมิติของจิตที่ติดต่อกันได้ผ่านระบบออนไลน์
ที่หนังเรื่องนี้ชื่อ her
อาจเพราะเค้าต้องการบอกว่า
OS ซาแมนธาเนี่ยมีตัวตน แต่มีในลักษณะของจิตใจ
เป็นตัวกูของกู ตามการเรียกของท่านพุทธทาส
คือมีจิตใจมนุษย์ที่มันรักโลภโกรธหลงไปตามธรรมชาติ
ซึ่งก็จะไปคล้องกับหัวข้อที่สามที่ว่าคอนเซปต์ของเรื่องนี้
คือการต้องการสร้างจิตใจมนุษย์ขึ้นมา
โดยไร้ร่างกาย
แต่มีตัวตน