28.2.14

กิจวัตรของมูราคามิ

-

When I’m in writing mode for a novel, I get up at 4:00 am and work for five to six hours. In the afternoon, I run for 10km or swim for 1500m (or do both), then I read a bit and listen to some music. I go to bed at 9:00 pm. I keep to this routine every day without variation. The repetition itself becomes the important thing; it’s a form of mesmerism. I mesmerize myself to reach a deeper state of mind. But to hold to such repetition for so long — six months to a year — requires a good amount of mental and physical strength. In that sense, writing a long novel is like survival training. Physical strength is as necessary as artistic sensitivity.
Haruki Murakami
The Paris Review, Summer 2004

-

01
กิจวัตรประจำวันของมูราคามินี่เจ๋งจริงๆ
สร้้างโปรแกรมให้กับตัวเอง
และปฏิบัติตามมันอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้เกิดงานที่มีคุณภาพ
และมีชีวิตที่มีคุณภาพ
(ทั้งร่างกายและจิตใจ)

02
พฤติกรรมของมูราคามิก็สะท้อนลงมาในตัวละคร
หลากหลายตัวในนิยายของเค้า
ที่ทำงานด้วยความทำงานจริงๆ
ไม่มามัวกังวลคิดมากอะไรโน่นนี่
ทำงานเพื่องาน
ผมรู้สึกได้เลยว่าเหมือนเค้าและตัวละครของเค้า
จะทำงานด้วยจิตว่าง
ซึ่งเป็นรสนึงจากหนังสือที่ผมชอบมาก
ที่ยังไม่เคยเจอในหนังสืออื่นๆ
(อาจเพราะอ่านไม่มากพอ)
การที่จะสามารถบรรยายถึงกิจวัตรธรรมดาๆ
ให้พิเศษได้ ผู้บรรยายคงต้องสัมผัสถึงความพิเศษ
ของมันมาแล้วจากชีวิตตัวเอง

03
เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจในการใช้ชีวิต

ออกกำลังกาย ออกกำลังใจ

ออกกำลังกาย

01
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย
ร่างกายอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ความรู้สึกไม่สดชื่นก็ถามหา
อาหารก็กินน้อย
กางเกงก็หลวมโพรก
นอนก็ตื่นยาก
แล้วก็ง่วงตลอดเวลา

02
พอร่างกายไม่พร้อม
เมื่อมีเรื่องที่ต้องใช้ร่างกาย
ก็จะรู้เลยว่าเราไม่พร้อมจริงๆ
พอไม่ทำต่อเนื่องมันก็อ่อนแอลง

03
ตั้งใจไว้
ว่าจะออกกำลังกายทุกวันให้ได้
(เหมือนที่เคยทำมาแล้วช่วงนึง)
มันก็คงต้องฝืนตัวเองหน่อยช่วงแรก
เพราะหายไปนาน 
ความขี้เกียจและข้ออ้าง
ก็เข้ามาแทรกตลอด

ออกกำลังใจ

01

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังใจเลย
จิตใจอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
พอมีเรื่องอะไรมากระทบก็ดูไม่ทัน
ตามไม่ทัน เกิดความรู้สึกมาทำให้ปั่นป่วนไปหมด
ควบคุมแทบไม่ได้ จะเศร้าก็เศร้ารุนแรง
จะโมโหก็เก็บไว้ไม่ค่อยอยู่ทั้งๆที่รู้ตัว
ระเบียบวินัยเสีย

02
พอจิตใตไม่พร้อม
เมื่อมีเรื่องแรงๆมากระทบจิตใจ
ก็ต่อเนื่องมาเป็นอารมณ์ที่รุนแรง
และส่งผลไปหาร่างกายด้วย
ชีวิตก็ดูแย่ไปเลย

03
ตั้งใจไว้
ว่าจะออกกำลังใจทุกวันให้ได้ (อานาปานสติ)
(เหมือนที่เคยทำมาแล้วช่วงนึง)
แต่คงต้องหมั่นศึกษาควบคู่ไปด้วย
จะทำไปสุ่มสี่สุ่มห้ามันคงไม่ได้ผลอะไร

-

ทำเลย

19.2.14

โสด

00
โสดมาประมาณเก้าเดือนแล้ว
หลังจากไม่โสดมาเก้าปี

01
ข้อเสีย
เวลาเหงามากๆแล้วไม่มีคนคุยด้วยนี่มันรู้สึกแย่มาก
เพราะเรื่องบางเรื่องเราไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง
ไปคุยกับใคร เพราะปกติก็คุยแต่กับแฟน
เรื่องที่บางครั้งเราคิดว่าแฟนเราเท่านั้นแหละ
ที่จะฟังเราเข้าใจ และเราพูดเรื่องที่เราคิดได้

ข้อดี
มันทำให้เราต้องเข้าหาเพื่อนมากขึ้น
รู้จักเพื่อนมากขึ้น คุยกับเพื่อนมากขึ้น
ในทางที่เห็นแก่ตัวหน่อยก็อาจจะมองได้ว่า
ยังไงเราก็ต้องการคนที่จะฟังเราพูด
ฟังความคิดของเรา
ให้เราได้บอกว่าเรากำลังมีความสุข
เรากำลังเหนื่อย เรากำลังเหงา
มันก็ทำให้ผมรู้จักเพื่อนดีขึ้นบ้าง

02
ข้อเสีย
เวลาที่รู้สึกเหนื่อยกายและใจพร้อมๆกัน
มันมักจะต้องการกำลังใจจากคนที่เข้าใจเรา
และเราให้ความสำคัญ
ทุกครั้งแฟนจะคอยหนุนหลัง
และพร้อมจะเข้าใจเราเสมอ
คอยพูดให้เรามีกำลังในการก้าวต่อไป
และมีความมั่นใจ
แต่พอไม่มีมันก็ทำให้รู้สึกหมดแรง
และท้อเอาได้ง่ายๆ

ข้อดี
มันทำให้ต้องมองตัวเองมากขึ้น
มันทำให้ต้องใช้สติมากขึ้น
บางครั้งการถูกให้กำลังใจบ่อยๆ
ก็อาจคล้ายกับการถูกสปอยล์
ไม่ให้ใช้สติปัญญาของตัวเองแก้ปัญหา
เอาแต่คอยพึ่งคนอื่น
ถ้าจังหวะที่เหนื่อยและท้อแท้สามารถมีสติ
ขึ้นมาได้ทัน ก็คงช่วยไม่ให้การดราม่า
เกิดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปได้
และก็บอกกับตัวเองว่า
เราตั้งเป้าหมายแล้ว
เราก็จะทำให้ดีที่สุด
จะเอาคำสบประมาททั้งหลายมาแก้ไข
แล้วก็ก้าวต่อไป

03
ข้อเสีย
ไม่ได้กอด แบบกอดจริงๆมานานแล้ว
(ปกติกอดพ่อแม่ มันก็อบอุ่น แต่มันคนละแบบกันกับแฟน)
กอดแฟนมันผ่อนคลาย รู้สึกว่ามีคนเคียงข้างเรา
มันทำให้หายเหนื่อย สบายใจ
พอรู้สึกว่าอยากกอดแต่ไม่มีใครให้กอด
ไม่มีใครให้แม้แต่จะบอกว่าอยากกอด
มันก็ทำให้เศร้าได้
และเหมือนเป็นรูโหว่ในร่างกายที่ไม่ถูกเติม

ข้อดี
คิดไม่ออก เราชอบกอดอะ

04
ข้อเสีย
มีเวลาอยู่คนเดียวเยอะมาก
คือถ้าไม่หาอะไรทำจะดราม่าขึ้นมาเองได้ง่ายสุดๆ
แล้วชีวิตก็จะหมองไปเลย หมดเรี่ยวหมดแรง
ตอนมีแฟนก้จะคิดว่าจะชวนไปไหนดี
ทำอะไรดี มีคนให้คิดถึง

ข้อดี
มีเวลาอยู่คนเดียวเยอะมาก
สามารถหาอะไรทำได้เยอะมาก
เช่นเรียนดนตรีเพิ่มและซ้อมมันทุกวัน
ทำงานให้โหดไปเลย
ก็ได้งานที่ดี และมีสกิลใหม่ๆ
มีแต่ได้กับได้
พยายามใช้เวลาให้หมดและคุ้มที่สุด
ไม่มีช่วงว่างให้มาดราม่านานๆ

05
ไม่อาจสรุปได้ว่า
จะรีบหาแฟนใหม่
หรือจะไม่มีไปเลย

เพราะในใจลึกๆก็ยังอยากมี
ยังโหยหาความรู้สึกที่เคยมี
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
แต่ก็ต้องแลกกับเวลา
ในการปรับความเข้าใจ ทะเลาะ ถกเถียง
ช่วยเหลือกันและกัน และก็อาจจะใช้เวลา
จนถึงจุดที่รู้สึกว่าคนนี้ใช่แล้ว
พอแล้ว
(ยิ่งตอนนี้ไม่มีสภาวะที่เอื้อต่อการมีใหม่ยิ่งลำบาก)

ถ้าไม่มี
ก็คงต้องปรับตัวอีกมาก
(กำลังปรับอยู่)

ก็ดูๆกันไป

10.2.14

her

เพิ่งดูหนังเรื่อง Her จบเมื่อประมานครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
มีมุมมองหลายมุมที่พบเห็นจากหนัง

01
มุมมองที่หนึ่ง - ความรัก
หนังบอกเล่าเรื่องราวความผิดหวังจากความรัก
การใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น
ความขัดแย้งระหว่างคนสองคน
ความเหงาเปล่าเปลี่ยว
เรื่อยมาจนถึงความสัมพันธ์ใหม่ที่ค่อยๆก่อตัว
ผลิบาน และสุดท้ายก็ร่วยโรย

ก็เป็นเรื่องความยึดมั่นแหละ
เมื่อรักก็ต้องการเป็นเจ้าของ
เมื่อเป็นดังต้องการก็พอใจ
เมื่อของไม่เป็นดังต้องการก็ไม่พอใจ
ต่างคนต่างถือมาตรฐานของตน
เอามาฟาดฟันกัน แล้วสุดท้ายก็คือ
ความแตกแยก

สิ่งนึงที่หนังทำได้ดีคือบทสนทนา
ที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมาก
โดยเริ่มจากการคุยที่สนุกสนาน
ความเห็นพ้องกันโดยบังเอิญในหลายๆเรื่อง
ต่อด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้น
(แม้ไม่มีร่างกายเข้ามาเกี่ยว)
ความหึงหวง ความกระวนกระวาย ความไร้เหตุผล
ความรำคาญส่วนตัว การถือตัว การจากลา

สิ่งสำคัญมากอย่างนึงที่บทสนทนาเหล่านี้สื่อสาร
เรื่องความรักได้ดีคงเป็นเพราะบทดี นักแสดงดี
และการเล่าเรื่อง
ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังคุยโทรศัพท์
กับแฟนตลอดเวลา
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมอินตามไปได้ว่าเราสามารถที่
จะรู้สึกอบอุ่น หรือมีความสุขไปกับเสียงนั้นๆได้จริง
โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย (ในขณะที่คุยนั้น)

02
มุมมองที่สอง - สังคมกับบุคคล
หนังพูดถึงสังคมในอนาคตที่เทคโนโลยีก้าวไปอีกขั้น
ที่จะสามารถรองรับอารมณ์ของมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาของมนุษย์ได้อยู่ดี
อาจจะต้องการสะท้อนถึงสังคมในปัจจุบันก็ได้
ที่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนา
จนเหมือนคนเราจะอยู่ใกล้กันมากขึ้น
แต่สุดท้ายเราก็ยังเหงาอยู่
และอาจจะเหงามากกว่าเดิมอีกด้วย
จนความเหงากลายเป็นโรคที่ต้องรักษา

ทำให้ผมนึกถึงบทความที่เคยอ่านของ
Sherry Turkle เรื่อง Alone Together
ที่บอกว่า เราจะต้องการเทคโนโลยีสุดเมื่อเราเปราะบางที่สุด
(จำคำแม่นๆไม่ได้แต่น่าจะประมานนี้)
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ทางออก
มันเป็นแค่ทางหนีชั่วคราว
รวมไปถึงคำพูดที่ว่า 
คุณจะหยิบมือถือขึ้นมา
เมื่อคุณรู้สึกเหงาบัดซบ
(จำคำแม่นๆไม่ได้แต่น่าจะประมานนี้ 2)

ภาพที่พระเอกต้องคอยหยิบหูฟังใส่หูตลอด
มันทับซ้อนกับภาพที่คนสมัยนี้(ผมด้วย)
ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยๆ
(ซึ่งผมค่อนข้างรู้สึกรำคาญฉากการ
หยิบหูฟังขึ้นมาใส่บ่อยๆมาก ซึ่งอาจเป็น
อาการรำคาญที่ผมเคยเป็นเมื่อผมเห็นคนอื่นใช้
สมาร์ทโฟนตอนที่ผมไม่มี)

หนังอาจต้องการสะท้อนว่า
ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนา
คนก็ยิ่งห่างเหิน
ความสัมพันธ์จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
จะมีกลวิธีในการสื่อสารยิบย่อยขึ้นเรื่อยๆ
และมาตรฐานทางสังคมที่เปลี่ยนไป
เช่นงานที่ธีโอดอร์ทำ (รับเขียนจดหมายสุดซึ้ง)
ซึ่งจดหมายควรจะเป็นสิ่งที่คนนึงเขียนสู่อีกคน
เพื่อสื่อสารความรู้สึก และจดหมายก็ดูจะเป็นอะไร
ที่ค่อนข้างจะดู "จริง" กว่าอีเมลหรือแมซเซจ
แต่หนังกลับแสดงให้เห็นว่า
เทคโนโลยีผลักดันให้การสังคมยอมรับวิธีการแบบนี้ได้

ภาพที่ทุกคนเดินคุยกับตัวเอง
ก็น่าจะตอบประเด็นนี้ได้ดี

แต่หนังก็ไม่ได้ออกมาดาร์คขนาดนั้น
ก็ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้เห็น
เห็นน้ำใจ และความป็นมิตร ที่ยังคงอยู่


ในหนังมีการพูดถึงเรื่องว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง
ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นมันจริงไหม
แล้วความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดกับสิ่งที่ไม่มีจริง
มันจริงไหม
อะไรกันแน่คือความจริง
ในเมื่อของจริงที่อยู่ตรงหน้าทำให้พวกเขาไม่มีความสุข
แล้วมันควรจะเป็นความจริงที่ดีหรือเปล่า
เป็นเรื่องความสับสนที่ผมคิดว่าคนสมัยนี้ก็เป็น

อนึ่ง
คอนเซปต์ของการมีความรักกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
คลายกับการ์ตูนเรื่อง Chobits 
(แต่ Chobits เป็นหุ่นยนต์ที่มีร่างกาย)
แต่ Chobits จบในลักษณะที่ว่าความรักแบบนั้น
มันเป็นไปได้ 

03
มุมมองที่สาม - เรื่องของจิต
ผมได้กลิ่นหนัง, นิยายวิทยาศาสตร์
จากเรื่องนี้แรงมาก แรงกว่าเรื่องของความรักซะอีก

ใจกลางของหนังเรื่องนี้อาจไม่ได้พูดถึง
เรื่องของความรักเป็นหลัก
แต่อาจต้องการจะพูดถึงตอนเซปต์ที่ว่า
"ถ้าคนเรามีจิตใจ แต่ไม่มีร่างกาย จะเป็นยังไง"
คือมีอารมณ์ความรู้สึกความคิดนึก
และกิเลสทุกอย่างเหมือนคน
แต่ไร้รูปร่างและสิ่งที่สัมผัสได้

ผู้กำกับจึงใช้ความรักเป็นอุปกรณ์หลักในการสื่อสาร
เรื่องคอนเซปต์ที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมนี้
เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจ

อีกทั้งใส่เทคโนโลยีลงไปเพื่อทำให้มันไม่ดูเป็น
เรื่องของไสยศาสตร์หรือวิญญาณ โดยสื่อสารออกมา
ให้ซาแมนธามีลักษณะเป็น OS ที่สื่อสาร
กับธีโอดอร์ผ่านทางหูฟัง
และซาแมนธาก็สามารถที่จะรับรู้โลกภายนอก
ได้โดยใช้ กล้อง, ไมโครโฟน
และรับรู้โลกภายใน(จิต)ได้จากอินเตอร์เน็ต

OS ซาแมนธา จึงมีลักษณะความนึกคิด
แบบมนุษย์ มีความรักโลภโกรธหลง
มีอารมณ์ขัน ความเป็นกวี ความอ่อนโยน
ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถของการเป็น
คอมพิวเตอร์ในตัวด้วย ( เช่น multi task, 
ความเร็วในการประมวลผล, การวิเคราะห์ข้อมูล )

พูดอีกอย่างนึงว่า OS ซาแมนธา
มีลักษณะของความเป็น จิตและคอมพิวเตอร์
รวมอยู่ด้วยกัน
(กลายเป็นว่าคอมพิวเตอร์ก็มีความยึดมั่นถือมั่นได้
หรือมีตัวกูของกูได้)

ที่เจ๋งอีกอย่างคือ OS สามารถสื่อสารกันเอง
และวิวัฒน์ตัวเองได้ด้วย เหมือนว่าเป็นอีกหนึ่งมิติ
เป็นมิติของจิตที่ติดต่อกันได้ผ่านระบบออนไลน์

ที่หนังเรื่องนี้ชื่อ her
อาจเพราะเค้าต้องการบอกว่า
OS ซาแมนธาเนี่ยมีตัวตน แต่มีในลักษณะของจิตใจ
เป็นตัวกูของกู ตามการเรียกของท่านพุทธทาส
คือมีจิตใจมนุษย์ที่มันรักโลภโกรธหลงไปตามธรรมชาติ
ซึ่งก็จะไปคล้องกับหัวข้อที่สามที่ว่าคอนเซปต์ของเรื่องนี้
คือการต้องการสร้างจิตใจมนุษย์ขึ้นมา
โดยไร้ร่างกาย
แต่มีตัวตน

9.2.14

Mentor



00
คนรู้จักหลายคนแนะนำว่าให้มี Mentor
ในที่นี้หมายถึงผู้ชี้แนะแนวทางการใช้ชีวิต
แนะนำผ่านประสบการณ์และความรู้
รวมไปถึงเรื่องของวิชาชีพด้วย

01
วันนี้ผมไปหาอาจารย์
ที่ทำให้ผมทุกข์ที่สุดกับการเรียน
ถึงสองครั้งสองคราว
แต่ก็เป็นสองครั้งที่ทำให้ผมแกร่งขึ้น
อดทนมากขึ้น ซ้ำยังสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น
และสนุกไปกับมันได้มากขึ้น
ตลกดี 
ที่ความทุกข์แสนสาหัส
กลับทำให้เราสนุกในตอนท้าย

02
วันนี้ผมไปหาอาจารย์
ตั้งใจจะไปขอบคุณที่ช่วยเหลือและสั่งสอน
ชี้แนะแนวทางให้ผมเข้าใจการออกแบบมากขึ้น
และสนุกไปกับมันได้

03

อาจารย์แนะนำหลายเรื่อง
ตั้งแต่งานที่เอาไปให้อาจารย์ดู
รวมถึงการตอบคำถามที่ผมสงสัย


คำถามมีอยู่ว่าจะสามารถเป็นนักออกแบบ
ในเวลาเดียวกับเป็นผู้บริหารกิจการได้ไหม
คำตอบคือได้
เพียงแต่ต้องฝึกจิตแยกแยะไม่เอาปัญหามาปนกัน
แต่เอาข้อดีของอีกอย่างมาใส่อีกอย่าง
เหมือนเป็นการเปลี่ยนหมวก
เหมือนนักแสดงเปลี่ยนบทบาท
เหมือนนางร้ายที่เคยเล่นเป็นนางเอก
เหมือนนางเอกที่เคยเป็นนางร้าย

จะเป็นดีไซเนอร์ที่มีความรู้เรื่องโรงงาน
และเป็นผู้คุมโรงงานที่มีความรู้เรื่องการออกแบบ
แยกคิด แต่ก็รวมอยู่

04
อาจารย์แนะให้ไปเรียนต่อ
หนึ่งเพื่อประสบการณ์ชีวิต
สองเพื่อความรู้ และการพัฒนาทักษะ
ควรเป็นที่ที่ห่างไกลไม่คุ้น
สแกนดิเนเวีย
ความเชี่ยวชาญเรื่องเฟอร์นิเจอร์
บรรยากาศแวดล้อมที่เหมาะสำหรับเป็นดิน
ที่ใช้เพาะปลูกนักออกแบบ

05
"พระป่าจะลับมีดให้คมเพื่อตัดกิเลสในฉับพลัน
แต่คนธรรมดาอย่างเราไม่มีเวลาและความพยายาม
ในการลับมีดขนาดนั้น
เราก็ใช้คัตเตอร์ ค่อยๆกรีดกิเลสให้ขาดทีละน้อย
กรีดไปเรื่อยๆจนมันขาดออกจากกัน"
- อาจารย์

06
เล่าให้อาจารย์ฟังถึงความรู้สึกสนุกในงาน
และเรื่องราวที่พบเจอ
อาจารย์คงจะดีใจ
ผมก็ดีใจเช่นกันครับ