1
มีคนเคยบอกกับผมว่า
อารมณ์ หรือร่างกาย ไม่โกหก
หมายความว่าสิ่งที่เรารู้สึกจากอารมณ์นั้น
หรือสิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของความคิด
จะเป็นจริง เป็นความรู้สึกที่แท้จริง เสมอ
ผมเคยเชื่อคำพูดนี้อยู่นาน
ว่าอารมณ์ หรือสิ่งที่เรารู้สึก
ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ความคิดนั้น
เป็นความจริง
ผมจึงเกิดความสงสัยในตัวเองค่อนข้างบ่อย
ว่าตกลงแล้วผมเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ
ทำไมผมจึงรู้สึกแบบนี้
แล้วมันก็จะเป็นแบบนั้นจริงใช่ไหม
ถ้าผมรู้สึกแบบนี้ผมก็ต้องทำตามที่ผมรู้สึกใช่ไหม
ผมไม่มีทางขัดขืนหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆใช่ไหม
ถ้าผมไม่ทำตามสิ่งที่ผมรู้สึก หรืออารมณ์ในแวบแรก
ผมจะเป็นคนที่หลอกตัวเอง ใช่ไหม
2
เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว
แต่ผมนึกกลับไปหาเพราะว่า
คืนนึงที่ผมนอนฝันอยู่
ฝันถึงอะไรผมจำไม่ได้ชัดนัก
แต่ว่าเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก
ผมสะดุ้งตื่นเพราะหัวใจผมเต้นแรงมาก
เต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากหน้าอก
เวลากลางในห้องนอนที่เงียบเชียบ
จะเงียบเป็นพิเศษ
เหมือนเสียงหัวใจจะดังจนผมได้ยินชัด
ผมต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจช้าๆ
เพื่อให้มันผ่อนคลายลง
คืนนั้นผมคิดหลังจากที่หัวใจเริ่มจะปกติ
ว่าร่างกายผมสามารถเปล่ียนแปลงได้ง่ายขนาดนี้เลยหรอ
ปัจจัยที่ทำให้ผมหัวใจเต้นรุนแรงขนาดนี้
แค่ความฝันเอง
ทั้งๆร่างกายผมยังนอนปลอดภัยอยู่บนเตียงในห้องแอร์
แบบนี้แสดงว่า การที่หัวใจเต้น ที่ไม่ถูกควบคุมโดยจิตใต้สำนึก
(หรือในที่นี้ = อารมณ์ = ความรู้สึกแรก ที่ผมเขียนไว้ตอนแรก)
สามารถทำงานได้จริงจัง โดยเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นจริงแบบนี้
แสดงว่าร่างกายก็ไม่ได้แสดงความจริงแท้ออกมาเลย
และเมื่อหัวใจที่น่าจะเป็นส่วนที่ไกลจากจิตสำนึกมากที่สุด
ยังสามารถทำงานผิดกับความจริงได้ขนาดนี้
อารมณ์ความรู้สึกคงจะชี้วัดความจริงอะไรไม่ได้แน่
3
คงเหมือนกับคำพูดที่ว่า
ปัจจุบันเท่านั้นที่กำหนดอนาคต ไม่ใช่อดีต
อดีตแค่ชี้ให้เห็นแนวโน้ม,
ทางที่เลือกและยังไม่ได้เลือก,
สิ่งที่ทำและยังไม่ได้ทำ
ที่เหลือเป็นหน้าที่ของปัจจุบันที่จะตัดสินใจ
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดมาครั้งแรก
เกิดจากสิ่งภายนอกที่มากระทบประสาทสัมผัส
แล้วก็เกิดปฏิกริยาในจิตใจ
เกิดการเรียกเอาความทรงจำ, ประสบการณ์ขึ้นมา
ว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้จะเป็นยังไง
แล้วก็เกิดเป็นความรู้สึกแรกนั้น
สิ่งที่เราทำได้
คือเรียนรู้มัน แล้ว ตัดสินใจ ว่าจะทำยังไง
ไม่ใช่เชื่อมันเต็มร้อยแล้วต้องทำตามทั้งหมด
เพราะปัจจัยต่างๆที่จะบอกว่ามันเป็นความจริงแท้
และเป็นสิ่งที่ควรทำตามนั้น (ปัจจัยให้เกิดอารมณ์)
ล้วนแล้วแต่คลาดเคลื่อน เปลี่ยนแปลง ผิดพลาด ได้ทั้งนั้น
เหมือนกับปัจจัยให้เกิดการตอบสนองทางร่างกาย
ก็เปลี่ยนแปลงและคลาดเคลื่อนเช่นกัน
ถ้าความฝันสามารถทำให้หัวใจเต้นเหมือนกำลัง
วิ่งหนีสุดชีวิตได้ขนาดนั้น
อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นล้วนเป็นอดีต
(แม้จะเป็นเวลาแค่ช่วงเสี้ยววินาที)
เรามีปัจจุบันให้ตัดสินใจ
ไม่ใช่มีปัจจุบันไว้ตามอดีต
ซึ่งด้วยไอเดียนี้ถ้าคิดเล่นๆ
เราอาจจะสามารถสร้างอารมณ์หรือปฏิกิริยาทางร่างกาย
ที่ควบคุมไม่ได้โดยตรงขึ้นมาได้
ด้วยการสร้างปัจจัยหลายๆอย่างที่จะชิ่งกันไปมา
ให้เกิดอารมณ์หรือ ปฏิกิริยานั้น
เช่น
อยากทำให้หัวใจเต้นเร็วก็ดูหนังที่มีคนบินไล่กวดกันบนท้องฟ้า
ถนน หรือโจรวิ่งไล่ตำรวจ หนังซอมบี้เข้าไปซักพักแล้ว
ก็นอนเยอะหน่อย
ก็อาจมีวันนึงที่หัวใจมันกระหน่ำเต้นกลางดึกได้(
ตัวอย่างสมมุติอะนะอาจจะดูโง่ๆ)
4
สรุปง่ายๆคือ
ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า
อารมณ์ความรู้สึก, ร่างกาย ไม่โกหก
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว
และเชื่อว่าเราควบคุมมันได้
คือเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำตาม
หรือจะทำในทางเลือกอื่น
ปล. นี่ไม่ใช่บทความจิตวิทยาหรือวิทยาศาสตร์
ไม่มีหลักฐานอ้างอิงใดๆ
เป็นความรู้สึกและความคิดล้วนๆ
18.12.13
7.12.13
เยอะ
01
ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ
ทำงานเหมือนเป็นงานอดิเรก
เราทำได้นะและสนุกกับมันด้วย
แต่พอถึงวันที่หยุดงาน
วันที่ป่วยแล้วต้องนอนทั้งวัน
ที่ต้องการจะพักผ่อน
เวลาที่หลับตาลง
สิ่งที่อยู่ในหัวตลอดเวลานั้นก็คือเรื่องงาน
ที่วนไปวนมาแบบขยายกว้างและแทรกซึมลงลึก
แบบสลัดไม่ออก
ตื่นขึ้นมานอนลงไปใหม่ก็ยังเป็นเรื่องเดิม
คือแทบไม่ได้คิดถึงมันแต่ฝันถึงมันเอง
โดยอัตโนมัติ
ชักรู้สึกสงสัยว่า
ตกลงนี่เราชอบโดยส่วนลึกของจิตใจ
หรือเราบังคับให้เราชอบ
จนส่วนลึกของจิตใจมันเก็บกด
จนในเวลาที่อ่อนแอ
มันจะระเบิดแรงกดดันนั้นออกมากันแน่
ฝันถึงงานคงเป็นเรื่องดี
แต่ถ้าเวลาที่อยากจะนอน อยากพักผ่อน
จะมามัวทำงานไปด้วยก็คงจะไม่ไหว
02
งานศพ
ตลอดงานพยายามคิดว่า
อีกไม่นานก็คงถึงคราวของเรา
ของคนใกล้ชิดของเรา
เตรียมใจไว้เถอะนะ
และถ้าไม่อยากเสียดาย
ก็จงใช้วันนี้ซะให้คุ้ม
อย่างมัวมาพะวงหยุมหยิมเลย
พอคิดแบบนี้ก็ว่าจะทำงานแบบลุยแหลก
แต่แล้วก็กลับไปคิดข้อแรกใหม่อีกที
03
Mary is Happy,
Mary is Happy.
คุณเต๋อทำหนังดีอีกแล้ว
จะขอจดบันทึกก้อนความคิดหลายๆอันไว้ซักหน่อย
(ระวังสปอยล์)
#
ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่อง All About Lily Chou-Chou
เพราะดำเนินเรื่องด้วยการพิมพ์ประโยคสั้นๆ
ที่วางกลางหน้าจอไปเรื่อยๆ
พร้อมเสียงกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์แบบไพเราะ(ดัง)
แถมหนังก็เกี่ยวกับชีวิตวัยเรียน
มีเพลงประกอบที่เพราะ
มีทุ่งหญ้าที่ลมพัดเอื่อย
และมีการตะโกนกู่ร้องสุดเสียงที่กลางทุ่งนั้น
ถึงแม้บรรยากาศหนังจะคนละแบบกันเลยก็เถอะ
$
ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่อง In Time ด้วย
เพราะว่าฉากในหนังจะถูกคุมโทนให้ใกล้กันมากๆ
(แต่ฉากหนังสองเรื่องนี้ไม่เหมือนกันนะ, แค่วิธีการคุม)
คอนกรีตเก่า, รางรถไฟ, อุปกรณ์เทคโนโลยีล้าสมัย
&
ดูจบแล้วเหมือนจะทำให้พูดไม่รู้เรื่องไปพักนึง
@
ช่วงแรกหนังดำเนินไปภายใต้กฎที่ว่า
ตัวละครจะถูกกำหนดพฤติกรรมหรือคำพูด
ผ่านทวีต (ให้ effect ที่ impact มากช่วงแรก)
แต่ก็ไม่ได้แค่ทำตามเพราะตัวละครก็
ตั้งคำถามกับทวีตเหล่าน้ันเหมือนกัน
และตอนกลางถึงท้ายก็ทำให้ตัวละคร
สับสนกับชีวิตอย่างหนัก
หนังอาจจะเริ่มจากการตั้งคำถามว่า
ถ้าชีวิตคนเป็นไปตามสิ่งที่คุณแมรี่มาโลนี่ทวีตทั้งหมด
จะเป็นยังไงน้อ
ได้ message เล่นๆมาว่า
ทวีต หรือสเตตัสที่เห็นทุกวันๆนั้น
อาจเหมือนแค่เราอ่านผ่านๆไป
แต่มันได้แทรกซึมลงไปในความคิดของเราแล้ว
แล้วก็อาจจะกำหนดพฤติกรรมบางอย่างของเราไปแล้ว
โดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่คุณแมรี่ในหนังโดนแบบคอมโบต่อเนื่อง
เลยค่อนข้างจะเหนื่อย
%
ในหนังมีฉากที่ชอบหลายอัน
หนึ่งในนั้นคือฉากที่เอาทวีตมาแปะเรียงกันบนผนัง
(ทำให้นึกถึงฉากในหนังเรื่อง Beautiful Mind)
+
เหมือน All About Lily Chou-Chou อีกอย่างคือ
ดูจบแล้วเหงาชะมัด
Subscribe to:
Posts (Atom)