30.11.13
ฟัน
หลายวันก่อนผมมีอาการปวดฟัน
คิดว่าเป็นเพราะฟันด้านบน
ที่ไม่มีฟันล่างคอยรับเพราะถูกผ่าออกไป
ย้อยลงมาโดนเหงือก
ก็เลยไปหาหมอเพื่อผ่าออก
ก่อนไปผ่าผมหายปวดแล้ว
เลยโฟกัสกับการใช้ฟันมากขึ้นเพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันจะถูกเอาออกไป
ยังจำความรู้สึกของฟันซี่นั้นที่บดลงบนอาหารได้ดี
หลังผ่าผมรู้สึกประหลาด
ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ดังนี้
1
หมอคิดว่าจะมาผ่าฟันคุดอีกข้าง ไม่ได้มาถอน
2
หมอดูแผลเร็วมากแล้วถอนเลย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาอาจไม่เกินสิบนาที
3
ฟันผมหลุดออกจากปากไปแล้ว แต่ผมเริ่มชักสงสัยว่าตกลงมันเป็น
เหตุให้ผมเจ็บหรือไม่กันแน่ เพราะหมอก็ไม่ได้ยืนยันหนักแน่น
ถ้ามันเป็นแค่ชั่วคราวหล่ะ
4
หมอดูสนุกที่ได้ดึงฟันออกมาจากปากผม
คือสรุปความได้ว่าผมรู้สึกว่า
อ่าว ตกลงฟันที่ถูกถอนออกไปแล้วนี่มันต้องถอนมั้ย
ความรู้สึกที่ตามมาก็คือความเสียดายฟัน
เพราะมันเป็นรูโบ๋ตรงที่มันเคยอยู่
เคี้ยวอะไรก็ไม่เหมือนเดิม
ต่อจากเหตุการณ์นั้นผมมาคิดอีกที
ว่าผมไม่เคยสนใจฟันเท่าไหร่เลยตั้งแค่เกิดมา
เคี้ยวไปแปรงไปงั้นๆ
แต่พอรู้ว่ากำลังจะต้องเสียมันไป
ผมกลับสนใจมันอย่างยิ่ง
และเมื่อเสียมันไป ผมกลับมีความรู้สึกเสียดาย
คล้ายเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นค่าของสิ่งนั้น
เมื่อเรากำลังจะสูญเสีย
แต่หรือความจริงคือมันไม่ได้เป็นของเราแต่ต้น
มันทำให้ผมคิดว่าผมก็มีความยึดมั่นถือมั่นกับตัว
ผมเยอะกว่าที่เคยรู้สึกมากทีเดียว
(ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่เรื่องเส้นผม)
อีกอย่างคือผมคิดว่าชีวิตเรานี่มันเปราะบางจริงๆ
ฟันที่ว่าแข็งแรงนี่ดึงออกกันง่ายๆใช้เวลาไม่นาน
และไม่เจ็บเลยซักนิด (หมอเก่งมาก)
มันไม่มีความคงทนถาวรเลย
ไม่มีความแน่นอนเลย
ก็สรุปความคิดข้อนี้เหมือนเดิมว่า
อยากทำอะไรก็รีบทำ
ก่อนชีวิตจะถูกถอนออกจากกัน
23.11.13
BITS : MMXIII
บันทึกสิ่งที่ได้จากการไปฟังและไปทำ
01
เราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจในงานออกแบบของเราได้
เพราะความพอใจเป็นเรื่องส่วนบุคคล
ที่อิงกับประสบการณ์ ความรู้ และอื่นๆอีกมากมาย
คงเหมือนกับเรื่องความงาม
ที่ไม่สามารถจะให้งามตรงใจทุกคนบนโลกได้
แต่กับงานออกแบบที่จะต้องใช้โดยคนหมู่มาก
โดยที่มีคนกลุ่มน้อยคอยตัดสินใจ (ลูกค้า)
เรายังจะใช้ความคิดแบบนี้ได้อยู่หรือ
ถ้าอิงกับย่อหน้าบนสุด การที่งานออกแบบจะประสบความสำเร็จ
คือลูกค้ายอมรับ และซื้องาน
คือสามารถทำให้ลูกค้าชอบ และพอใจได้
แต่ความพอใจนั้นอาจไปไม่ถึงผู้ที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
แต่ต้องใช้ผลงานนั้น และใกล้ชิดกับมันมาก
แล้วถ้ามันเป็นกรณีที่ลูกค้าชอบมาก แต่คนที่ใช้ไม่ชอบมากๆ
ผลที่ตามมาคือคำด่า และ การต้องอดทนใช้ไป เพราะไม่มีทางเลือก
แน่นอนคำด่าต้องมี และมาคู่กับงานออกแบบ
ซึ่งคำด่าเหล่านั้นก็อาจจะมีทั้งโดยอารมณ์
และโดยเหตุผลที่นำไปปรับปรุงงานได้
ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่การที่ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกนี่มันเหมาะสมหรือไม่
การที่ต้องยอมทนใช้งานออกแบบนั้นๆไปจนชินไปเองมันดีหรือเปล่า
หรือมันเป็นหน้าที่ของดีไซเนอร์ที่ต้องทำงานให้หนักขึ้น
เพื่อที่จะตอบโจทย์ได้ทั้งลูกค้าที่มีอำนาจการตัดสินใจ
และผู้ใช้ที่ไม่มีอำนาจการตัดสินใดๆ
หรือการทำแบบที่เป็นอยู่มันดีแล้ว
ด้วยตรรกะที่ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้
ผมเองก็ไม่รู้
02
Four elements of branding
Color, form, typeface and key visual
03
Typeface works like a smell.
04
Multi language typeface
เป็นอะไรที่ระเบิดหัวมากๆ
ในสังคมที่มีคนหลากเชื้อชาติ
ภาษาที่ใช้ก็มีหลายแบบตามไป
และยังไม่มีการใช้ภาษาเดียวร่วมกัน
ถึงมีภาษาทางการก็ไม่ได้หมายความว่า
คนทุกคนจะรู้ภาษานั้นๆ
การสื่อสารย่อมยากกว่าประเทศที่มีแค่สองภาษาแน่ๆ
แต่ในความยากและซับซ้อนนั้นก็มีความท้าทายอยู่มาก
(ในอนาคตคงสนุกกว่านี้ตอนเปิด AEC ไปแล้ว)
วิทยากรไม่ได้พูดถึงการทำให้มันเป็นกลาง
หรือ simplify หรือ ทำให้มัน universal เลยแม้แต่น้อย
แม้ถูกถามเค้าก็เหมือนจะบอกว่าการทำแบบนั้นมันไม่เวิร์ค
และไม่สามารถสื่อสารได้ดีเท่า
ฉะนั้นโอกาส หรือความเป็นไปได้ในการ สร้างสรรค์คือ
ให้ความสำคัญกับทุกภาษา แต่สร้างความสัมพันธ์, ความกลมกลืน
ให้กับมันในงานออกแบบ โดยผ่านกระบวนการการทำความเข้าใจ
ในแต่ละภาษาลงลึกไปถึงระบบการอ่านเขียน ไม่ใช่แค่เพียงออกแบบ
ภาษานึงเป็นหลักแล้วเอาไปใช้กับอีกแบบ
แค่วิทยากรถอดรหัสแต่ละภาษาออกมาให้ดูก็ตะลึงแล้ว
พอเห็นความเป็นไปได้ในการผสมผสานมันแล้วยิ่งตะลึงเข้าไปใหญ่
เพราะมันเป็นโจทย์ที่ยังไม่มีใครทำออกมาชัดเจน
เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจมากๆ
และเวิร์คช๊อปก็สนุกดี
05
การออกแบบ font ที่เอาไปใช้จริงๆแบบแมสมันไม่ได้มี
element ให้เล่นได้มากขนาดนั้น
ฉะนั้นอะไรที่นามธรรมมากๆก็ต้องถูกย่อยและแปลงเป็น
element ที่ simple มากๆอยู่ดี
ฉะนั้นคิดว่าการออกแบบ font น่าจะสำคัญที่การหา
metaphor ที่เรียบง่าย (แปลงเป็น element ง่าย)
ที่ลงตัวกับโจทย์ แล้ว represent มันออกมาด้วย
element ที่เรียบง่ายที่สุด
(ที่เหลือคือการปรับดีเทลและ consistency ซึ่งตรงนี้
ไม่เคยทำถึงซึ่งอาจจะเป็นส่วนที่ยากกว่าก็ได้)
แต่มันก็ชัดเจนดีนะ
06
ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของศาสตร์ที่จะออกแบบ
จะช่วยคุณได้อย่างมหาศาล
จริงๆอันนี้ก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่วันนี้ก็ย้ำ
ความคิดนี้ลงไปอีก
07
ภาษาควบคุมความคิดคน
ถ้าควบคุมภาษาได้
ก็ควบคุมความคิดคนได้
08
Universal design
ทำลาย distinctiveness, uniqueness
ของพื้นที่ที่มีสิ่งนั้นๆอยู่เต็มที่
ฉะนั้น Universal design
ไม่ได้เหมาะกับทุกๆที่เสมอไป
09
Kerning แปลไทยว่า ระยะห่างเฉพาะ
เป็นคำที่โคตรโรแมนติก
How many kerning is between u and i ?
ผมกับคุณมีระยะห่างเฉพาะเท่าไหร่
ถ้าเราทุกคนเป็นตัวอักษร
เราทุกคนคงมี kerning ที่เราจัดไว้ให้กับคนรอบๆตัวเรา
ห่างบ้างแคบบ้างตามความสัมพันธ์และโอกาส
ที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับคนๆนั้น
เรากับบางคนก็อาจจะสนิทกันจนเลข kerning มันติดลบ
เรากับบางคนก็อาจจะห่างจนถึงหลักร้อย
แต่แน่นอนเราคงไม่ต้องการ kerning ทุกตัวอักษร
เข้ามาใกล้ชิดกันหมดหรอก
เพราะมันจะอ่านไม่ออก
เราแค่ kern ให้ระยะมันเหมาะสมไว้ตามที่เราคิดว่าดี
แต่ถ้าคนไหนที่วางคู่กับเราแล้วเหมาะจริงๆ
เราอาจจะ kern ไว้พองาม
แล้ว ligature เชื่อมเราสองคนเอาไว้เลย
Subscribe to:
Posts (Atom)