วันนี้บังเอิญตั้งใจฟังข่าวครับ
คือปกติฟังเฉยๆไม่ได้คิดตาม
วันนี้คิดตามและบังเอิญเชื่อมโยงได้
ข่าวแรกเรื่องนโยบายจำนำข้าว
ผมไม่ได้รู้มาก่อนว่ามันเกี่ยวกับอะไร
แต่พอฟังแล้วจับความได้คือรัฐบาลซื้อข้าวจากชาวนา
ซึ่งเงินที่เอามาซื้อข้าวคือเงินที่ยืมมาจากต่างชาติ
ปัญหาที่ตามมาก็คือ
หนึ่ง เราเป็นหนี้ต่างชาติ
สอง รัฐบาลมีข้าวเยอะมากที่ขายไม่ทัน เสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ
สาม ระบบการค้าขายข้าวเสียสมดุล ข้าวที่ชาวนาปลูกไม่ได้คุณภาพ
และ มีการโกงกินระหว่างกระบวนการ
เรื่องต่อมาคือเรื่องนโยบายรถคันแรก
มีคนมาขอลดภาษีเกือบล้านคน
หมายถึงรถล้านคันทั่วประเทศ
จำนวนเงินที่รัฐต้องคืนคือหนึ่งแสนล้านบาท
ปัญหาก็คือ
หนึ่ง การจราจรติดขัดรุนแรง
สอง ต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอีกมาก รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม
สาม คงต้องมีการทำถนนขยายเลนสร้างสะพานอีกมาก
ซึ่งอาจจะเป็นพื้นที่ให้โกงกินกันได้อีก
สี่ เงินภาษีเหล่านั้นรัฐสามารถเอาไปทำการขนส่งสาธารณะ
ให้ดีขึ้นและขยายออกไปได้อีกมาก
เรื่องต่อมาคือค่าแรงขั้นต้ำ 300
ที่จะเพิ่มภาระให้กับโรงงานมากมาย
เพราะต้นทุนสูงขึ้น ทำให้แข่งขันกับต่างชาติยากยิ่งขึ้น
สามเรื่องนี้คือนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้คนเลือก
เพราะทุกคนได้ตัง ทุกคนแฮปปี้
ผมคิดว่าสาเหตุที่พรรคนี้วางนโยบายแบบนี้
เพราะเข้าใจ insight ของประชาชน
ว่าทุกคนได้ประโยชน์ ทุกคนอยากได้เงิน
แต่มันดันเป็นประโยชน์ระยะสั้น
ที่จะก่อให้เกิดผลเสียระยะยาว
ซึ่งก็ไม่มีใครออกมาทำอะไรเป็นรูปธรรมมากมายนัก
เรื่องต่อมาคือข่าวการทุบศาลฎีกา
ซึ่งคนก็ออกมาคัดค้านว่ามันเป็นสมบัติของชาติ
เพราะมีโครงสร้างและแบบที่เก่า
แต่ศาลยืนยันว่าจะทุบ บอกว่าตึกมันเก่าอาจพังได้
ซึ่งก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าจริงมั้ย
ผมคิดเองว่าการทุบแล้วสร้้างใหม่คงเป็นโครงการที่ใช้เงินมาก
คงมีการโกงกินกันอีก เลยอยากจะทุบ
อีกเรื่องคือศูนย์หลบภัยที่จังหวัดพังงาที่ไม่มีใครดูและ
และสร้างให้เสร็จ รวมถึงแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้เอื้อต่อการใช้งาน
ของคนทุกกลุ่ม รวมทั้งการออกแบบการสื่อสารข้อมูลให้คนเข้าใจ
ว่าควรทำอย่างไรเมื่อถึงภัยพิบัติ
ศุนย์นี้สร้างขึ้นหลัจากมีสึนามิได้หนึ่งปี คือพอมีเรื่องก็รีบๆสร้าง
พอเริ่มลืมก็ขี้เกียจทำแล้ว ก็ทิ้งไว้อย่างงั้น
ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
สองเรื่องหลังผมคิดว่ามันคือความขี้ลืมของคนไทยบางส่วน
คือผ่านไปนานก็ไม่ได้ส่งผลต่อความคิดมากนัก
นิสัยประเภทที่ไม่สนใจใครเอาแต่ประโยชน์ของตัวเอง
หรือนิสัยที่ทำอะไรลวกๆพอหมดกระแสก็ทิ้งไป
เชื่อมโยงไปหาสามเรื่องแรกที่มองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า
คือเราไม่คิดหน้าหลังเลย เอาแต่ตอนนี้ไว้ก่อน
เรื่องที่ผ่านมาก็ลืม
เรื่องข้างหน้าก็ไม่คิด
อยู่ไปวันๆกับคำว่าไม่เป็นไร และ ช่างมันเถอะ
มันอาจเป็นนิสัยรากเหง้าของคนไทยที่เกิดมาบนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์
ไม่ต้องดิ้นรน อยู่แบบสบายๆ improvise ไปวันต่อวันไม่ต้องวางแผน
ก่อให้เกิดเอกลักษณ์แบบนี้
ซึ่งมันก็ทำให้เราเป็นคนใจดี ยิ้มง่าย เป็นสเน่ห์
แต่ในขณะเดียวกันนิสัยของเรานี้ก็ส่งผลกระทบต่อความคิดของเราเช่นกัน
กลายเป็นนิสัยเสีย
ผมเคยไปต่างประเทศแถบยุโรป
ประวัติศาสตรคือสิ่งที่เค้าจดจำ
เรียนรู้เพื่อให้วันพรุ่งนี้ไม่ทำพลาด
มีหลายสิ่งอย่างที่เป็นรูปธรรมให้จำได้
เช่นมิวเซียม หรือหอศิลป์ หรือการไม่ทุบสถานที่เก่าแก่
และมันก็ฝังลึกในนิสัยของคน ทำให้พัฒนา
ผมไม่ได้บอกว่าฝรั่งดี
แต่เราก็มีนิสัยที่ไม่ดี
ผมมองว่าส่วนนี้ของเค้าดี เราก็น่าเอามาปรับใช้
มันไม่ใช่การลอกเลียน
แต่เป็นการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
เพื่อที่เราจะได้เข้าใจอดีต
คิดถึงอนาคต
เราจะได้มีประเทศที่ดีขึ้นไป
นี่เป็นความคิดเห็นของผมล้วนๆ
อาจมีสิ่งที่ผิดหรือไม่จริง
ก็ขออภัยด้วยครับ
25.12.12
2.12.12
Do what you love, Love what you do
Do what you love.
คล้ายจะเป็นอะไรที่ดูดี
เพราะสื่อถึงการที่เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร
เราจึงทำ
เพราะเราเลือกเอง
มันดูเจ๋งเพราะว่าคนๆนั้นรู้ตัวเอง
ในเวลาที่คนหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
แต่การที่เราจะชอบอะไรบางอย่าง
หรือจะ Love ได้
มันคงไม่ใช่เวลาสั้นๆ
มันคงไม่ใช่แค่พบครั้งแรกแล้วจะตกหลุมรัก
จากนั้นก็จบอย่างสวยงาม
มันต้องผ่านเวลา
ต้องผ่านความยากลำบาก
สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
ความเศร้า ความท้อแท้
มันถึงทำให้เรารู้ว่าเรารับได้กับสิ่งๆนั้น
และเรารักสิ่งนั้นได้จริงๆ
Love what you do.
ฟังดูแย่กว่าเพราะเหมือนว่าเราต้องจำทนทำสิ่งที่ทำอยู่
เราต้องทำใจให้รักสิ่งที่เราทำอยู่
เราไม่ได้เลือกที่จะรัก เราต้องรัก
และไม่สามารถไปหาสิ่งที่ดีกว่านี้ได้
แบบนั้นจริงรึเปล่า
เพราะถ้าหากว่าการที่เราจะ Love อะไรบางอย่างได้
เราก็ต้อง do ก่อน
และต้อง do ดีๆ do นานๆ
ฉะนั้นความรักต่อการทำอะไรบางอย่าง
ก็อาจเกิดจากการทำสิ่งนั้นมาแล้ว
ประโยคนี้จึงอาจไม่ได้สื่อความหมายถึงการจำทน
แต่เป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่ทำ
และเกิดความรักกับมันมากขึ้น
ใครจะรู้ว่าก่อนที่เค้าจะ love ในสิ่งที่เค้า do
เค้าอาจ do อะไรมาหลายอย่างแล้วก็ได้
ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายมักบอกว่าให้ทำในสิ่งที่รัก
แล้วจะมีความสุขในสิ่งที่ทำ แล้วก็จะประสบความสำเร็จ
ซึ่งเค้าเหล่านั้นก็เป็นคนที่รักในสิ่งที่ทำจริงๆ
Do what you love,
Love what you do
คงไม่ง่ายที่จะรู้ว่ารัก
ถ้าหากไม่ลองทำ
คล้ายจะเป็นอะไรที่ดูดี
เพราะสื่อถึงการที่เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร
เราจึงทำ
เพราะเราเลือกเอง
มันดูเจ๋งเพราะว่าคนๆนั้นรู้ตัวเอง
ในเวลาที่คนหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
แต่การที่เราจะชอบอะไรบางอย่าง
หรือจะ Love ได้
มันคงไม่ใช่เวลาสั้นๆ
มันคงไม่ใช่แค่พบครั้งแรกแล้วจะตกหลุมรัก
จากนั้นก็จบอย่างสวยงาม
มันต้องผ่านเวลา
ต้องผ่านความยากลำบาก
สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
ความเศร้า ความท้อแท้
มันถึงทำให้เรารู้ว่าเรารับได้กับสิ่งๆนั้น
และเรารักสิ่งนั้นได้จริงๆ
Love what you do.
ฟังดูแย่กว่าเพราะเหมือนว่าเราต้องจำทนทำสิ่งที่ทำอยู่
เราต้องทำใจให้รักสิ่งที่เราทำอยู่
เราไม่ได้เลือกที่จะรัก เราต้องรัก
และไม่สามารถไปหาสิ่งที่ดีกว่านี้ได้
แบบนั้นจริงรึเปล่า
เพราะถ้าหากว่าการที่เราจะ Love อะไรบางอย่างได้
เราก็ต้อง do ก่อน
และต้อง do ดีๆ do นานๆ
ฉะนั้นความรักต่อการทำอะไรบางอย่าง
ก็อาจเกิดจากการทำสิ่งนั้นมาแล้ว
ประโยคนี้จึงอาจไม่ได้สื่อความหมายถึงการจำทน
แต่เป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่ทำ
และเกิดความรักกับมันมากขึ้น
ใครจะรู้ว่าก่อนที่เค้าจะ love ในสิ่งที่เค้า do
เค้าอาจ do อะไรมาหลายอย่างแล้วก็ได้
ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายมักบอกว่าให้ทำในสิ่งที่รัก
แล้วจะมีความสุขในสิ่งที่ทำ แล้วก็จะประสบความสำเร็จ
ซึ่งเค้าเหล่านั้นก็เป็นคนที่รักในสิ่งที่ทำจริงๆ
Do what you love,
Love what you do
คงไม่ง่ายที่จะรู้ว่ารัก
ถ้าหากไม่ลองทำ
Subscribe to:
Posts (Atom)